ฮึบๆ เก็บเงินล้านแรก  ยากที่สุด

0
704
kinyupen

เงิน 1,000,000  บาทเชื่อว่า ใครก็อยากมี  อยากได้ในสมุดบัญชี แต่ถ้าบอกว่าคุณทำได้ คาดว่าคนฟังหลายคนคงอึ้ง และไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เพราะแค่เงินหมื่น เงินแสน ยังไม่มีเก็บเลย

ในคอลัมน์ Wealth Corner โดย ดร.ศุภกร สุนทรกิจ ได้ให้แนววิธีที่ กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต คิดว่าเราทุกคนสามารถปรับใช้ได้ หากสูตรอาจจะช้าเร็ว ตัวเลขขั้นต่ำก็ตามกำลัง โดยในคอลัมน์มีการกล่าวถึงคำพูดที่ว่า ล้านแรกนั้นยากสุด แต่ล้านต่อๆ ไป จะง่ายขึ้น ซึ่งคำพูดนี้พ่อของผู้เขียนถ้าปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ก็คงเกิน 100 ปีได้เคยพูดไว้ ว่า ให้ไปให้ถึง 1,000,000 บาทแรกให้ได้ จากนั้นมันจะง่ายขึ้นโดยเมื่อมาดูกับหลักการ หรือ เข้าใจวิธีการ  “คำว่า 1,000,000 บาทแรกเป็นไปได้จริง” สำหรับคนกินเงินเดือนอย่างเรา

เงิน 1 ล้านบาทแรก ทำได้จริงถ้ามีวินัยและตั้งใจจริง เชื่อหรือไม่ถ้าคุณเป็นคนกินเงินเดือน ตั้งใจและมีวินัย ประเภทแบบหยอดไปเรื่อย ๆ คุณสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ช้าสุด 13  ปี

หลักการที่ 1  เก็บตามกำลังแบบมีวินัยและตั้งแต่เริ่มมีรายได้ 16,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปโดยเก็บตั้งแต่เดือนละ 500 -5,000  บาทฝากเป็นประจำ จะให้ดีคือฝากประจำแบบไม่เสียภาษี จนเมื่อได้เงินก้อนนำเข้าไปลงทุนมีให้เลือกตั้งแต่ กองทุน ที่มีบริษัทหลักทรัพย์ บริหารจัดการ จนถึงซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์วิธีการให้เอาแบบง่ายๆ ประเภทมือใหม่ คือดูผลกำไรย้อนหลัง 3 – 5 ปี ถ้ามันสวยเติบโตผู้บริหารมีข่าวขยายธุรกิจเข้าตา ก็เอาอันนั้น สิ่งที่ต้องทำคือกระจายเสี่ยงหลายขา และดูว่าทั้งหมดที่เราลงไปได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมากกว่า 3% หรือไม่

โดยที่มาของเงินล้าน ใน 13 ปีนั้น นำมาจากหลักการจากข้อเขียนของ ดร ศุภกร ที่ว่า ถ้าพนักงานกินเงินเดือน 30,000 บาทตั้งเป้าลงทุนทุกเดือน ๆ ละ 5,000 บาทมีเงื่อนไขผลตอบแทน 3%  พนักงานคนนี้จะมีเงิน 1,000,000 บาทในเวลา 13 ปีครึ่ง และถ้าเขาเอาเงินผลตอบแทนที่ว่า 3% ที่ได้แต่ละปีสมทบลงทุนไปเรื่อยๆ เงินล้านที่ 2 จะใช้เวลา  9.58 ปี ล้านที่3 ในเวลา 7.42 และล้านที่ 4 ในเวลา 6 ปี ซึ่งนี่คำนวณผลตอบแทนที่ 3%

หลักการที่ 2 อาจย่นให้เร็วขึ้น และเมื่อมีเงินต่อเดือนออมได้มากขึ้น สามารถใช้วิธีลงทุนแบบ Dollar-Cost- Averaging (DCA) คือลงทุนเหมือนฝากประจำ แต่เข้าไปซื้อกองทุนของธนาคารต่างๆ ด้วยวิธีลงทุนสม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือนต่อเนื่อง เช่น 5000 บาททุกวันที่ 15 ของเดือน โดยเลือกกองทุนที่ดูแล้วว่าอยู่ในขาธุรกิจที่กำลังมา อย่างเช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้า หรือ สุขภาพ ซึ่งการลงทุนแบบนี้ยังสามารถเลือกในกลุ่มกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี อย่างพวก RMF  หรือ SSF โดยกลุ่มนี้นอกจากจะได้ประหยัดเงินภาษีที่อาจต้องจ่าย แล้วยังรวมถึงผลกำไรจากราคาของกองทุนที่อาจเพิ่มขึ้น (ในภาวะเศรษฐกิจดี) หรือบางกองก็จะมีปันผล นั่นหมายถึงการย่นระยะเวลาเก็บเงินล้านแรก ได้เร็วขึ้น  

การลงทุนแบบ DCA จะช่วยลดความเสี่ยง และความผันผวนของการลงทุนได้ เช่น หากลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับตัวรุนแรงอย่างตอนเกิดโควิด-19 ถ้าหากลงทุนครั้งเดียวช่วงต้นปีก็มีโอกาสขาดทุนสูงสุดถึง -20% และเมื่อสิ้นปี จะได้ผลตอบแทน อยู่ที่ 16.26%

แต่หากเราลงทุนแบบ DCA ก็จะทำให้เดือนที่ขาดทุนมากที่สุดลดลงเหลือเพียง -17.46% และเมื่อตลาดฟื้นตัวกลับมา ก็จะได้ผลตอบแทนสิ้นปีอที่ 19.26% มากกว่าการลงทุนแบบครั้งเดียว

หลักการที่ 3 ใช้วิธีผสม หลังจากเก็บเงินได้ระยะหนึ่งแบ่งเงินที่จะลงทุนออกเป็นหลายๆ ทางคือเงินฝากประจำที่เก็บได้เป็นก้อน ซื้อหุ้นกู้ที่มีเครดิต มากกว่า B ขึ้นไป ผสมกับการลงทุนในกองทุนประหยัดภาษี และซื้อหุ้น IPO หรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์กลุ่มหุ้นปันผล โดยประมาณคร่าวๆ ให้มีผลตอบแทนที่ 10% มีโอกาสูญเงินต้นน้อยนั่นหมายถึงจะใช้เวลาน้อยลงในการมีเงินล้านบาท

แต่ถ้าท่านสนใจลงทุนแบบเรียนรู้ซื้อ ขายหุ้น ทางตลาดหลักทรัพย์ก็มี ห้องเรียนนักลงทุน ที่เปิดให้คำแนะนำกับมือใหม่  

นี่ก็คือหลักมีสลึงพึงบรรจบ ให้ครบบาท ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับวินัย และความตั้งใจ ท้ายนี้ กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิตขอให้ทุกท่านมีเงินล้านในเร็ววัน สาธุ สาธุ

kinyupen

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here