เลี่ยงให้ไว ก่อน “หมดไฟ” เพราะ Work from Home

0
500
kinyupen

การ Work from home ที่ดูเหมือนจะช่วยให้เราสบายใจมากขึ้น ที่สามารถทำงานประจำได้ในบ้านที่เราคุ้นเคย แทนที่จะอิสระขึ้นแต่กลับตาลปัตร พนักงานหลายคนประสบปัญหา ทำงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม คิดอะไรไม่ออก ชีวิตส่วนตัวปนกับเรื่องงาน ทำให้รู้สึกเครียดมากขึ้น ยิ่งใครที่ต้อง ‘สแตนบาย’ ตลอดเวลาที่อยู่บ้าน จะเครียดและเสี่ยงหมดไฟได้ง่ายๆ เพราะการงานดูดกลืนชีวิตส่วนตัวไปจนหมด ไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสนิทใจ

จาก Work life balance กลายเป็น Work ไร้ Balance แบบนี้ กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิตมีเทคนิค Work from Home แบบสุขภาพจิตดี สมดุลชีวิตไม่เสียมาฝากกันค่ะ

 

Burnout หรือ ภาวะหมดไฟของคนทำงาน หนึ่งสิ่งสำคัญที่บริษัทไม่ควรมองข้าม

จากผลสำรวจพฤติกรรมและทัศนคติพนักงานทั่วโลก Gallup Poll พบว่าในปี 2561 พนักงานออฟฟิศ 2 ใน 3 ประสบกับภาวะ Burnout และมีแนวโน้มสูงมากขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด-19 ด้วยรูปแบบการทำงานแบบ Work from Home ที่ทำให้พนักงานหลายคนทำงานนานขึ้นในแต่ละวัน และเผชิญความเครียดสูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่ Burnout syndrome

 

สัญญาณ “หมดไฟ” เพราะ Work from Home

  1. รู้สึกว่าทำงานตลอดเวลาอาจหนักถึงขั้นกระทบต่อสุขภาพ เนื่องจากกินข้าวไม่เป็นเวลาด้วย เพราะไม่มีเวลาเลิกงานชัดเจน
  2. ติดนิสัยผัดวันประกันพรุ่งอยู่บ้านแล้วเฉื่อยชา ไม่มีพลังขับเคลื่อนผลงานดีๆ ออกมา
  3. เริ่มรับผิดชอบตัวเองน้อยลงขี้เกียจทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ตื่นเช้าตามปกติ อาบน้ำ แปรงฟัน
  4. มีปัญหาแล้วหาทางออกไม่ได้เพราะต้องอยู่คนเดียวลำพัง ต่อให้ออนไลน์คุยกันได้ก็ไม่เหมือนคุยกับปกติอยู่ดี ชวนให้รู้สึกเฟล
  5. คอยเช็กงาน เช็กอีเมลตลอดเวลา ในหัวมีแต่งานตลอดทั้งวัน ทำให้ไม่สามารถจดจ่อกับการใช้ชีวิตเลย
  6.  ต้องสแตนบายคอยประชุม เมื่อไหร่ที่เรียกประชุมก็ต้องพร้อมอยู่หน้าจอตลอดเวลา ทำเอาพักผ่อนได้ไม่สนิทใจ ชวนหมดไฟได้ง่ายๆ
  7. รู้สึกว่าต้องทำงานให้หนักขึ้น เพราะอยู่บ้าน จึงไม่เห็นว่าคนอื่นทำงานอย่างไร จึงทำให้เกิดความกังวลใจว่าตัวเองจะทำงานน้อยกว่าคนอื่นหรือเปล่า ทำให้รู้สึกว่าต้องทำงานให้เยอะขึ้น หนักขึ้น หรือนานขึ้นกว่าเดิม 

ทางแก้ Work ไร้ Balance ก่อนหมดไฟทำงานที่บ้าน

บทความจาก Harvard Business Review มีคำแนะนำให้กับพวกเรา 3 ข้อ

1.บิ้วตัวเองให้แยกโหมดทำงานกับเวลาส่วนตัว :

ใช้ความแตกต่างเป็นตัวตั้งต้น วิธียอดนิยมคือ แต่งตัวชุดทำงานไปเลย บางคนอาจแต่งหน้า ใส่สูททับ เมื่อทำงานเสร็จก็เปลี่ยนมาใส่ชุดอยู่บ้านตามปกติต่อ

 

2.จัดสรรช่วงเวลาทำงานให้เหมาะกับตัวเอง :

การ Work from Home จะทำให้เส้นแบ่งระหว่างชีวิตส่วนตัวกับชีวิตการทำงานมันซ้อนทับกันอยู่ พยายามหาสูตรจัดการเวลาของตัวเองให้ดี โดยเฉพาะการไม่ทำให้ชีวิตทำงานมันกลืนกินทุกอย่าง

 

3.ลำดับงานให้ดี :

จัดระเบียบความสำคัญของงานโดยโฟกัสกับงานที่สำคัญที่สุดก่อน เพราะเราอาจทำงานมากไปในเวลาไล่เลี่ยกัน จนทำให้เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย ลองลิสต์เอาไว้ แล้วค่อยๆ เคลียร์งานตามลำดับ

 

สุดท้ายนี้ต้องไม่ลืมรักษา ‘พื้นที่ชีวิตส่วนตัว’ เอาไว้ให้ได้ เพื่อไม่ให้หมดไฟไปเสียก่อน จะได้มีแรงทำงานไปยาวๆ แม้การ Work From Home อย่างต่อเนื่องจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ต้องค่อยๆ ปรับตัว ลองผิดลองถูกกันไป เพราะไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องอยู่ในยุคที่พร้อมทำงานได้ทุกที่ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้มันเป็นตัวเร่งให้เกิด Work From Home เร็วขึ้นเท่านั้นเอง

 

กินอยู่เป็นขอขอบคุณที่มากจาก thematter.co

kinyupen