เจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ของเมืองซัปโปโร บนเกาะฮอกไกโด เข้าช่วยเหลือชีวิตแมว 238 ตัว ที่ถูกสามพ่อแม่ลูกเลี้ยงแบบตามมีตามเกิดภายในบ้านอย่างอดอยาก ในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ จนทำให้บางตัวประสบปัญหาสุขภาพ เรื่องแดงขึ้นเพราะไม่ยอมจ่ายค่าเช่าบ้านจนถูกฟ้องขับไล่ ชี้เริ่มเลี้ยงแค่ไม่กี่ตัวแต่ไม่ได้ทำหมันจนเพิ่มจำนวนทวีคูณเกินจะรับได้ ก่อนที่จะถูกดำเนินคดีทารุณกรรมสัตว์ตามกฎหมาย
แมวนับเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของชาวญี่ปุ่น หลายครอบครัวเลือกที่จะเลี้ยงแมวเป็นสัตว์เลี้ยง และเป็นเพื่อนสำหรับคนโสดบางคนด้วย ทำให้เราสามารถพบเห็นคาเฟ่แมวได้มามายในประเทศญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตามการเลี้ยงแมวที่แม้จะมีข้อกำหนดมากมายตามกฎหมายของญี่ปุ่น แต่ก็ยังพบว่ายังปัญหาเกิดขึ้นมากมายกับแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นอยู่ดี
ล่าสุด เจ้าหน้าที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นพบว่าแมวจำนวน 238 ตัว ในบ้านหลังหนึ่งที่ จ.ซัปโปโร เกาะฮอกไกโด ซึ่งเจ้าของแจ้งว่าไม่สามารถที่จะเลี้ยงพวกมันได้อีกต่อไปจากจำนวนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหานี้เกิดแดงขึ้นมาหลังจากที่เจ้าของบ้านซึ่งเป็นเจ้าของแมวทั้งหมด ค้างค่าเช่าบ้านเป็นเวลานาน
จากของมูลระบุว่า แมวทั้ง 238 ตัว เป็นของสามีภรรยาวัย 50 กว่าปี ที่อาศัยอยู่กับลูกชายวัย 30 ปี ในย่านคิตะ ในเมืองซัปโปโร และเมื่อสมาชิกของศูนย์ควบคุมสัตว์และองค์กรสวัสดิภาพสัตว์เข้าไปตรวจสอบในบ้านหลังจากได้รับแจ้งก็ต้องตะลึงเมื่อพบแมวจำนวนมาก และยังพบซากกระดูกแมวที่ตายที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นบ้านอีกด้วย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่องค์กรสวัสดิภาพสัตว์ กล่าวว่า ภายในบ้านพบแมวที่ผอมจนหนังติดกระดูกอยู่รวมกันอย่างน่าเวทนา พวกมันมีกลิ่นเหม็นจนเจ้าหน้าที่หลายคนไม่สามารถที่จะทนกลิ่นได้เลยทีเดียว
จากการสอบถามครอบครัวดังกล่าว พวกเขาบอกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าแมวมีกลิ่นเหม็นเหมือนที่คนอื่นรู้สึก และไม่เคยนำแมวไปทำหมัน จนกระทั่งพวกมันเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เป็นเท่าทวีคูณจนถึงปัจจุบัน และเมื่อทั้งสามคนต้องออกจากบ้านเนื่องจากค้างค่าเช่าจนถูกเจ้าของบ้านยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้ย้ายออก แมวทั้งหมดจึงต้องไปอยู่ในความดูแลของ ศูนย์ควบคุมสัตว์ของเมือง และอีกจำนวนหนึ่งจะถูกส่งไปยังหน่วยงานสวัสดิภาพสัตว์
ด้านหัวหน้าองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ส่งเสริมการปกป้องแมวจรจัดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ระบุว่าจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีของบ้านหลังนี้ ทำให้แมวหลายตัวสูญเสียการได้ยิน และทั้งสามคนจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนี้เนื่องจากถือได้ว่าเป็นการเพาะพันธุ์แมวโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายสวัสดิภาพสัตว์ของญี่ปุ่น
ที่ผ่านมา เกิดคดีเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายสวัสดิภาพสัตว์เพิ่มมากขึ้นในประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะการทารุณกรรมสัตว์ ทั้งแบบที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ โดยจากข้อมูลพบว่าในปีที่แล้วมีผู้ที่ต้องถูกดำเนินคดีลักษณะนี้สูงถึง 105 คดี ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ในประเทศญี่ปุ่น
รับชมคลิปวิดีโอ : 238 cats rescued from house in northern Japan
ขอขอบคุณภาพจาก : NHK
จากการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลกรวมถึง ประเทศญี่ปุ่น ที่พบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีจำนวนมาก ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาสำคัญเมื่อห้องในโรงพยาบาลอาจจะไม่เพียงพอต่อการรับผู้ติดเชื้อเข้ารักษาดูแล ล่าสุดบริษัทด้านการออกแบบที่อยู่อาศัยชั่วคราวในเครือบริษัท “TCL” ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทรถยนต์ และการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ มีนำสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ได้ออกมาเสนอแนวคิดการนำ “Easy Dome House” หรือบ้านโดมชั่วคราว ที่บริษัทได้ออกแบบและผลิตขึ้นมาก่อนหน้านี้ มาเพื่อใช้เป็นพื้นที่ชั่วคราวสำหรับการรักษาผู้ป่วย แก้ปัญหาการขาดแคลนเตียงในโรงพยาบาลในขณะนี้
สำหรับ “Easy Dome House” มีรูปร่างเป็นลักษณะทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 3.3 เมตรและสูง 2.6 เมตร ผนังด้านนอกเป็นแผงที่ทำจากโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูงซึ่งมีความทนทานต่อฝนและมีการป้องกันเสียงและความร้อน ส่วนบริเวณภายในได้รับการตกแต่งด้วยเสื่อทาทามิขนาดประมาณสี่ผืนครึ่งและใหญ่พอที่จะรองรับเตียงผู้ป่วยและอุปกรณ์การแพทย์ มีประตูทางเข้าหนึ่งบาน และหน้าต่างสามบานเป็นมาตรฐาน และหากต้องการจะเพิ่มประตูขึ้นอีกก็สามารถทำได้ สามารถติดตั้งในลานจอดรถหรือ พื้นที่ว่างใดก็ได้ ติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว และรื้อออกได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน และนำออกได้ทันที
สำหรับสนนราคาของบ้านโดมชั่วคราวนี้ มีราคาต่อหลังอยู่ 780,000 เยน หรือราว 200,000 บาทไทย (ไม่รวมภาษีการบริโภคและค่าธรรมเนียมการจัดส่ง) โดยก่อนหน้านี้บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ได้นำออกขายตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน .ซึ่งมีจุดประสงค์เริ่มแรกเพื่อที่อยู่อาศัยชั่วคราวในช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติ แต่ด้วยการระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ บริษัทได้รับการติดต่อจากสถาบันการแพทย์ต่างๆ มากขึ้น เพราะบ้านชั่วคราวนี้สามารถใช้เป็นพื้นที่สำหรับแยกตัวผู้ป่วยเพื่อการรักษาพยาบาลได้สะดวกขึ้น
“บ้านโดมสามารถล้างทำความสะอาดได้อย่างสมบูรณ์ และไม่จำเป็นต้องขออนุญาตในเรื่องการก่อสร้างอาคารจากรัฐบาลท้องถิ่น ดังนั้นหวังว่ามันจะช่วยเรื่องของความยากลำบากในเรื่องการจัดการสถานพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อในขณะนี้ ซึ่งเราต้องการสนับสนุนให้รัฐบาลท้องถิ่น ในการแก้ปัญหาโรคระบาด รวมถึง ปัญหาเกี่ยวกับภัยพิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วมและแผ่นดินไหว ก็สามารถใช้บ้านลักษณะนี้ได้เช่นกัน” ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัท TCL กล่าว
บริษัทญี่ปุ่นหัวใส เย็บผ้ากิโมโนเก่าเป็นหน้ากากอนามัยสำหรับนักสะสม จากหน้ากากผ้าธรรมดากลายเป็นสินค้าส่งออกมูลค่าสูง
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดมากขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสวนทางกับหลายๆ ประเทศ นอกจากรัฐบาลญี่ปุ่นจะออกมาเข้มงวดกับการออกกฎหมายเพื่อจำกัดการรวมกลุ่มของประชาชนชาวญี่ปุ่นแล้ว ยังพยายามที่จะจัดหาเครื่องป้องกัน โดยเฉพาะหน้ากากอนามัยเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของทุกครอบครัวอยู่ดี
แม้ก่อนหน้านี้ประเทศญี่ปุ่นจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีหน้ากากอนามัยขายมากมายและมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ แต่ปัจจุบันกลับไม่มีขายในท้องตลาดหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ความพยายามที่จะคิดค้นหาหน้ากากอนามัยหลายรูปแบบจึงเกิดขึ้น ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากได้ออกมาคิดค้นและแชร์วิธีการทำหน้ากากอนามัยตั้งแต่วิธีง่ายๆ จากกระดาษอนามัยธรรมดา ไปจนถึงหน้ากากผ้ารูปแบบน่ารักสวยงามเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนดังกล่าว
ล่าสุดดูเหมือนว่าชาวญี่ปุ่นจะคิดค้นวิธีการทำหน้ากากอนามัยที่ก้าวไปอีกขั้น เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนแล้ว ยังเป็นการสร้างมูลค่าจนสามารถกลายเป็นสินค้าส่งออกที่มีราคาอีกด้วย เมื่อหน้ากากอนามัยเหล่านั้น ทำมาจากผ้ากิโมโนเก่าซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสมนั่นเอง
โดยปกติแล้วหญิงสาวชาวญี่ปุ่นมักจะมีชุดกิโมโนเป็นของตัวเอง ไว้ใช้ในโอกาสสำคัญตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว และลวดลายของกิโมโนเหล่านั้นล้วนสวยงามและเป็นที่ต้องการของนักสะสม ด้วยลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์หลากหลายรูปแบบ และด้วยแนวคิดนี้ จึงทำให้มีบริษัทแฟชั่นร่วมทุนระหว่างญี่ปุ่นกับอิตาลี ได้ออกมาสร้างสรรค์หน้ากากอนามัย จากกิโมโนเก่า ที่ใช้ชื่อว่า I Was a Kimono ซึ่งถือเป็นการให้ชีวิตใหม่แก่กิโมโน ซึ่งสะท้อนให้เห็นแนวคิดที่เริ่มต้นจากความเสียดายกิโมโนโบราณที่ถูกทิ้งร้างไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะจริงๆ แล้วชุดกิโมโนเก่าเหล่านั้นล้วนเป็นการผลิตอย่างประณีต เป็นชุดแฮนด์เมด แต่เมื่อไม่ได้ถูกใช้งานแล้วมันก็มักจะถูกใช้เป็นเพียงเครื่องประดับตกแต่งบ้านเท่านั้น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขาดแคลนหน้ากากอนามัย ทำให้ชุดกิโมโนเหล่านี้ได้เกิดใหม่เป็นแมสก์อยู่บนใบหน้า ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริม ที่จำเป็นมากในขณะนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่มันจะเป็นหน้ากากอนามัยที่สามารถใช้ได้นาน และช่วยให้ผู้สวมใส่รู้สึกปลอดภัยจากภายนอกแล้ว มันยังเป็นแฟชั่นที่ทันสมัยและล้ำค่า เพราะทำจากชุดกิโมโนเก่าแสนสวย
ดีไซเนอร์ของบริษัทนี้ ได้นำผลงานการออกแบบหน้ากากอนามัยที่ทำจากกิโมโนโบราณเหล่านี้ออกมาเผยแพร่ โดยระบุว่า แต่ละหน้ากากกิโมโน ล้วนได้แรงบันดาลใจจากสไตล์วินเทจและเป็นธรรมชาติของชาวญี่ปุ่น เช่น หน้ากากลายเมเปิ้ลใบดอกโบตั๋น และ ลายคลื่นสไตล์ Hakusai
ด้านนอกของหน้ากากกิโมโนทำด้วยผ้าไหม แต่ภายในมีผ้าฝ้ายนุ่มๆ ที่ไม่ทำให้ระคายเคืองผิว ซึ่งหน้ากากแต่ละชิ้นถูกขายในราคา 2,100 เยน หรือราว 600 บาท โดยมีให้เลือกสามขนาด คือ ขนาดเล็ก ขนาดปกติ และขนาดใหญ่ บริษัทผู้ผลิตระบุว่า ปัจจุบันหน้ากาก I was a Kimono ได้รับคำสั่งซื้อมากมายทั้งจากชาวญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่นเอง รวมไปถึงจุดหมายปลายทางระหว่างประเทศอื่นๆ เช่น เยอรมัน อังกฤษ ไอซ์แลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และสิงคโปร์ และที่สำคัญ แม้ตอนนี้มีคนอยากจะสั่งซื้อก็ไม่สามารถซื้อได้ เพราะว่าทางบริษัทได้ขายหน้ากากเหล่านี้หมดไปแล้ว
ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้เป็นเรื่องสัจธรรมของโลก ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนย่อมมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ได้เหมือนกัน เหมือนกับเรื่องราวของเด็กสาววัย 19 ปีชาวญี่ปุ่นคนนี้ เรื่องราวของเธอไม่เพียงที่จะทำให้หลายคนเห็นอกเห็นใจในโชคชะตาที่เลือกไม่ได้ของเธอแล้ว ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกำลังใจให้เธอต่อสู้อุปสรรคเพื่อสร้างฝันให้เป็นจริงอย่างที่ตั้งใจอีกด้วย
ชาวาดะ ชิมามิ คือเด็กสาววัย 19 ปี คนนั้น เธอกลายเป็นประเด็นสนใจขึ้นมาเมื่อรายการทีวี ชื่อ “ขอตามไปที่บ้านได้มั้ย ภาษาญี่ปุ่นคือ 家、ついて行ってイイですか? ซึ่งเป็นรายการชื่อดังของช่อง TV Tokyo นำเสนอเรื่องราวของบุคคลหลากหลายโดยจะขอตามไปถ่ายทำที่บ้าน พร้อมที่จะจ่ายค่าแท็กซี่หรือค่าอาหารให้ และล่าสุดก็ได้พบกับ ชิมามิ ที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง เมื่อรายการแจ้งว่าอยากจะขอไปถ่ายทำที่บ้านได้ไหม และจะขอออกค่าแท็กซี่ให้เธอแสดงความดีใจและยินดีให้ทีมงานไปที่บ้าน
ผู้ดำเนินรายการได้สอบถามเรื่องราวของเธอระหว่างที่เดินทางไปในรถแท็กซี่ด้วยกัน ก็ทราบว่าชิมามิมีอาชีพเป็นสาวนั่งดริงก์อยู่ในบาร์ ในวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น และอาศัยอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เพียงคนเดียว
เรื่องราวของเด็กสาวดูจะไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เมื่อพูดคุยกันมากขึ้นทีมงานกลับพบว่าชีวิตของเธอกลับแตกต่างจากชีวิตของสาวนั่งดริงก์ทั่วไป
เด็กสาวเล่าว่าที่จริงแล้วเธอเพิ่งออกจากสถานสงเคราะห์เด็กมาได้เพียง 6 เดือนเพื่อที่จะออกมาหางานทำและอยู่ด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากไม่มีความรู้อะไร จึงเลือกที่จะทำงานเป็นสาวบาร์เพราะเห็นว่าเป็นงานที่สามารถหาเงินได้ง่าย ถึงแม้หลายคนจะมองไม่ดีแต่เธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสียสำหรับเธอที่เป็นเด็กที่เติบโตจากสถานสงเคราะห์ตั้งแต่เด็ก “หนูไม่ได้เป็นเด็กกำพร้า มีพ่อและแม่ แต่ว่าแม่มีอาการทางจิตเลยต้องไปอยู่โรงพยาบาล พ่อก็เลยเครียดและไปเที่ยวผู้หญิงทุกวันจนสุดท้ายก็เลี้ยงหนูไม่ได้ ก็เลยต้องถูกส่งตัวมาที่สถานสงเคราะห์เด็ก แต่ที่นั่นก็มีหลายคนที่มีชีวิตเหมือนกัน” ชิมามิเล่า และยังให้ทีมงานได้เยี่ยมชมและถ่ายทำห้องของเธอ ที่อยู่อย่างเรียบง่ายสไตล์วัยรุ่น อย่างไม่ปิดบัง
เมื่อทีมงานถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรที่ต้องถูกส่งตัวไปอยู่ในสถานสงเคราะห์ ชิมามิบอกว่า ไม่ได้รู้สึกอะไร ช่างมัน มันก็สนุกดี เพราะหลังจากนั้นก็โตมาแบบนั้นเลยไม่รู้สึกอะไร พร้อมกันนี้ก็นำรูปถ่ายตอนเด็กๆ มาให้ดู เป็นรูปของเธอกับเพื่อนที่สถานสงเคราะห์ แต่ทีมงานสังเกตเห็นว่าในทุกภาพถ่ายชิมามิ มักซ่อนแขนซ้ายไว้ไม่ให้เห็นในรูป เธอจึงบอกว่า เป็นเพราะตอนเด็กเธอกรีดแขนเพื่อเรียกร้องความสนใจ ทำให้แขนเป็นรอยกรีดจนถึงตอนนี้และได้โชว์รอยแผลเป็นให้ทีมงานดูด้วย
“ตอนเด็กๆ หนูพูดทำร้ายจิตใจเพื่อน จนถูกแกล้งบ่อยก็กรีดข้อมือเพราะอยากให้คนมาปกป้อง และคนที่คอยช่วยเหลือและเข้าใจหนูคือผู้ดูแลที่สถานสงเคราะห์ เขาเปรียบเสมือนแม่ คอยบอกว่าสิ่งไหนดีไม่ดี คอยสอน และคอยให้กำลังใจหนู ถ้าทำผิดก็จะเตือน และพาหนูไปกินข้าว หนูเลยอยากจะเป็นแบบเขาค่ะ”
เมื่อถามว่าแล้วไม่อยากเรียนหนังสือเหรอ ชิมามิตอบว่า แน่นอนเธออยากเรียนหนังสือต่อ ตอนนี้ก็กำลังพยายามทำงานนั่งดริงก์
เพื่อเก็บเงินเรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะมีเป้าหมายสำคัญบางอย่าง นั่นคือสอบให้ได้ใบอนุญาตการดูแลเด็ก และสอบราชการให้ได้ไปเป็นผู้ดูแลเด็กในสถานสงเคราะห์ ให้เป็นได้เหมือนกับผู้ที่เคยดูแลเธอตอนอยู่สถานสงเคราะห์ และอยากใช้ชีวิตเพื่อเด็กๆ เหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังมีเงินไม่มากพอจึงยังต้องทำงานเก็บเงินไปก่อน เพราะเธอไม่มีพ่อแม่คอยส่งเสียจึงต้องหาเลี้ยงตัวเองทุกอย่างรวมทั้งหาเงินเพื่อเรียนหนังสือต่อด้วย
“ตอนนี้หนูอยากที่จะเรียนหนังสือต่อ และเป็นผู้ดูแลเด็กให้เร็วที่สุด หนูจะทำให้ได้เหมือนกับผู้ที่ดูแลหนู เพราะถ้าไม่มีเขาวันนั้น วันนี้หนูคงตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นหนูรู้ว่าเด็กๆ ที่ไม่สมบูรณ์ต้องการอะไร ความเจ็บปวดและการต้องการความรักเป็นอย่างไร ก็อยากจะปกป้องรอยยิ้มของพวกเขาเอาไว้ค่ะ” ชิมามิกล่าวถึงความตั้งใจ
จบการเยี่ยมบ้านในวันนั้นทีมงานอำลาชิมามิ มาพร้อมกับสรุปว่า นี่คืออีกหนึ่งชีวิตของเด็กสาวที่จะใช้ความเจ็บปวดของเธอในอดีตมาเพื่อปกป้องรอยยิ้มของเด็กๆ คนอื่นในอนาคต ..ภาพเพียงภายนอกคงตัดสินความตั้งใจที่อยู่ภายในไม่ได้ เพราะทุกคนล้วนมีชีวิต และต้นทุนที่ต่างกัน และขอให้สาวน้อยชิมามิ ได้ทำฝันของเธอให้เป็นจริงในเร็ววัน …กัมบัตเตะ ซาวาดะ ชิมามิ
ที่มา : ญี่ปุ่นเบาเบา @JapaneseBaobao
ญี่ปุ่นยังครองตำแหน่ง “พาสปอร์ตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก” ในปี 2020 ขณะโควิด-19 อาจทำให้นักเดินทางต้องยืนยันสุขภาพก่อนเข้าสู่ประเทศอื่น
แม้ว่าในขณะที่สถานการณ์การเดินทางท่องเที่ยวของทั่วโลกต้องพังทลายลงจากผลกระทบที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด -19 ทำให้การเดินทางออกต่างประเทศถูกจำกัดลงมากกว่า 80% โดยส่วนใหญ่การเดินทางเกิดขึ้นเฉพาะการอพยพกลับประเทศเพื่อหนีโรคระบาดเท่านั้น แต่โลกของการท่องเที่ยวถูกปิดลงอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโรคจนทำให้การเดินทางท่องเที่ยวต้องหยุดชะงักลง The Henley Passport Index ซึ่งเป็นองค์กรจัดอันดับการทรงอิทธิพลของพาสปอร์ตที่สุดในโลก ซึ่งส่งผลต่อความสะดวกในการเดินทางของพลเมืองในประเทศนั้นๆ ได้ออกมาประกาศการจัดอันดับ “สุดยอดพาสปอร์ตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ประจำปี 2020” ซึ่งปรากฏว่า พาสปอร์ตของพลเมืองประเทศญี่ปุ่นยังคงครองอันดับหนึ่งในปีนี้ และยังทำลายสถิติการเดินทางไปสู่ประเทศต่างๆ ได้สูงถึง 191 ประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า
ในช่วงที่ผ่านมานักท่องเที่ยวทั่วโลกมีความสุขกับการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่โดยเฉลี่ยแล้วมีประเทศที่ไม่ต้องวีซ่ากว่า 107 ประเทศทั่วโลก แต่ในวันนี้กว่า 93% ของประชากรโลกที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ถูกห้ามให้มีการเดินทางเข้าสู่ประเทศอื่น นับเป็นการสูญเสียอิสรภาพในการเดินทางท่องเที่ยวที่หลายฝ่ายยังคงกังวลว่าจะมีระยะเวลายาวนานไปอีกเท่าไหร่
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่าจากข้อมูลของ The Henley Passport Index ญี่ปุ่นได้เข้าสู่ตำแหน่งผู้นำของพาสปอร์ต ที่ทรงอิทธิพลของโลกอีกครั้งใน ปี 2020 โดยมีประเทศสิงคโปร์ ตามมาในอันดับสอง เยอรมนีและเกาหลีใต้ติดอันดับที่สามร่วมกัน ขณะที่ลักเซมเบิร์กและสเปน อิตาลีและฟินแลนด์ ได้ลำดับที่สี่ ในขณะที่พาสปอร์ตของ ออสเตรีย เพิ่งติดอันดับเข้ามาในอันดับที่ 5 ร่วมกับเดนมาร์ก ซึ่งการจัดอันดับนี้จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายวีซ่าของแต่ละประเทศที่ประกาศให้มีผลบังคับใช้
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ที่จากการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อความมีอิทธิพลของพาสปอร์ตของบางประเทศ เช่น สเปนหรือประเทศอื่น ๆ ที่มีการถูกสั่งห้ามพลเมืองของประเทศนี้เดินทางเข้าประเทศ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พลเมืองสเปนถือว่ามีหนังสือเดินทางที่ดีที่สุดในโลกชาติหนึ่งโดยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศต่างๆ
อย่างไรก็ตาม The Henley Passport Index มองว่าการระบาดใหญ่จะไม่ส่งผลกระทบในระยะยาวต่อดัชนีพาสปอร์ตและสิ่งต่าง ๆ น่าจะกลับมาเป็นปกติในไม่ช้านี้ หรืออาจจะต้องใช้เวลาบ้างแต่ทุกอย่างจะเป็นปกติ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อาจจะเป็นเรื่องของการตรวจสอบเรื่องของสุขภาพ ระบบดูแลสุขภาพฉุกเฉินต่างๆ ของนักเดินทางที่อาจจะต้องมีมาตรการเพิ่มขึ้นสำหรับการเดินทาง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประเทศต่างๆ ไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้มาก่อน นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ โดยในอนาคตความมั่นคงด้านสุขภาพจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาการอนุญาตให้มีการเดินทางเข้าประเทศ
สำหรับการจัดอันดับหนังสือเดินทางที่ดีที่สุดที่ในปี 2020 คือ
เกียวโตอาจถึงคราวล่มสลายอย่างแท้จริง?
เกียวโต หนึ่งในเมืองหลักของญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกนิยมมากที่สุด แต่ละปีสร้างรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ญี่ปุ่นมหาศาล หากวันนี้กำลังได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก จนสื่อญี่ปุ่นวิเคราะห์ว่าเกียวโตอาจถึงคราวล่มสลายอย่างแท้จริงหลังเพิ่งประสบสภาวะ “ฟองสบู่” มาก่อนหน้านี้
ด้วยการที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น จึงทำให้ “เกียวโต” มีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญหลายแห่ง ดังนั้นเมื่อญี่ปุ่นเริ่มนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 ซึ่งต่อมาได้รับความสำเร็จอย่างสูงโดยในปี พ.ศ.2559 ญี่ปุ่นระบุว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 40 ล้านคน กระตุ้นการใช้จ่ายสะพัดกว่า 8 ล้านล้านเยน ซึ่งรายได้จำนวนมากมาจากเมืองเกียวโตทั้งโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร รวมถึงของที่ระลึกต่างๆ ที่ขายดิบขายดีสร้างความยินดีให้กับชาวเกียวโต แม้ต้องแลกมาด้วยความแออัดวุ่นวาย
ในปี 2563 ญี่ปุ่นตั้งความหวังสร้างรายได้จากท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก ด้วยอานิสงส์จากการเป็นเจ้าภาพโตเกียวโอลิมปิก2020 ที่จะกระจายนักท่องเที่ยวและรายได้ให้สะพัดไปยังเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ แต่ล่าสุดเหตุที่โตเกียวโอลิมปิกถูกเลื่อนออกไปอีก 1 ปี จึงดูเหมือนว่าความหวังทุกอย่างกำลังพังสลายโดยสิ้นเชิง เมื่อยอดจองโรงแรม ที่พักและธุรกิจเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวถูกยกเลิกเกือบทั้งหมด
“เกียวโต” ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะรายได้หลักของเมืองล้วนมาจากการท่องเที่ยว โรงแรมที่พักซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ หอพักที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการท่องเที่ยวแบบทัศนศึกษาของเด็กนักเรียนเกือบทั้งหมดถูกยกเลิกได้รับผลกระทบอย่างหนักไปตามกัน
ฟองสบู่ท่องเที่ยวแตก ทุบรายใหญ่ทรุด รายเล็กร่อแร่
รายงานสมาคมการท่องเที่ยวเมืองเกียวโต เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ระบุว่าหลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่งผลให้นักท่องเที่ยวลดลงจนน่าตกใจ ยอดจองที่พักถูกยกเลิกแล้วกว่า 70% บางแห่งแทบไม่มียอดจองเหลือเลย นอกจากผลกระทบของโรคระบาดแล้ว นักวิเคราะห์ในญี่ปุ่นยังเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากที่ผ่านมามีการลงทุนสร้างโรงแรมที่พักในเกียวโตเพิ่มสูงขึ้นเป็นจำนวนมากในลักษณะ “ฟองสบู่” ดังนั้นเมื่อมีวิกฤติด่วนธุรกิจเหล่านี้จึงได้รับผลกระทบมากจน “ฟองสบู่แตก”
โรงแรมเกียวโต บริษัทจดทะเบียนเพียงแห่งเดียวของเมือง ประกาศคาดการณ์รายได้ไตรมาสแรกว่า ผลประกอบการขาดทุนเมื่อเทียบกับรายได้ปีที่แล้ว โดยยอดจองห้องพักของโรงแรมลดลงประมาณ 40% และหลังมีคำสั่งห้ามจัดเลี้ยงตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้การประชุมและจัดเลี้ยงทั้งจากสโมสรโรตารีและไลออนส์ ตลอดจนองค์กรอื่นๆ ที่เป็นขาจร อันถือเป็นรายได้ประจำได้ถูกยกเลิกเกือบหมดแล้ว โดยโรงแรมเองก็ไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียมยกเลิกในส่วนนี้
สำหรับธุรกิจโรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็กถือว่าเป็นกลุ่มที่รับผลกระทบรุนแรงไม่แพ้กัน เพราะก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมากมายเหมือนดอกเห็ดเพื่อรองรับการเติบโตช่วงที่การท่องเที่ยวเกียวโตบูมใหม่ๆ บ้านเรือนหลายแห่งถูกดัดแปลงเป็นโฮสเตล หรือ ห้องพักราคาถูก โดยกลุ่มนี้พบว่าอัตราการเข้าพักลดลง 60% และ 70%
กลุ่มที่รับผลกระทบมากที่สุดคือหอพักราคาถูก หรือ โรงแรมขนาดเล็กมาก ที่สร้างเพื่อรองรับกลุ่มนักเรียนที่มาทัศนศึกษาในเกียวโตซึ่งส่วนใหญ่จะมีรายได้หลักจากโรงเรียนต่างๆ เท่านั้น เพราะโดยทั่วไปแล้วโรงแรมกลุ่มนี้จะไม่รับบุคคลทั่วไปนอกจากช่วงสั้นที่ไม่ใช่ช่วงทัศนศึกษาของเด็กเท่านั้น แต่เมื่อเกิดโรคระบาด โรงเรียนต้องยกเลิกเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กเป็นสำคัญ ทำให้ยอดจองของกลุ่มโรงแรมนี้อยู่ในสภาวะ “ยอดขายเป็นศูนย์” และยังไม่สามารถคาดว่าจะขายห้องพักได้อีกเมื่อไหร่
สิ่งน่าห่วงอีกอย่าง คือ โรงแรมขนาดเล็กเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีเงินสำรองที่แข็งแกร่งมากนัก หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปจนไม่สามารถที่จะนำรายได้เข้ามาเติมส่วนที่ขาดหายไปได้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าอนาคตธุรกิจนี้อาจจะถึงจุดจบในที่สุด
บทความข้างต้นเห็นได้ว่า สถานการณ์เกียวโตในวันนี้บางเสี้ยวมีความเหมือน หรือ คล้ายคลึงกับประเทศไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วง 10 ปีที่ผ่านมาธุรกิจท่องเที่ยวไทยมีการเติบโตและสร้างรายได้เข้าประเทศแต่ละปีสูงมากจนกลายเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์เศรษฐกิจของประเทศ กอปรกับการโหมลงทุนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเอสเอ็มอี ดังเห็นได้ว่ามีโฮมสเตย์ผุดขึ้นทุกภาคของประเทศรวมถึงเป็นที่แจ้งเกิดธุรกิจเกี่ยวข้องมากมาย
หากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้สกัดกั้นการเติบโตของทุกซัพพลายเชนในธุรกิจท่องเที่ยวให้หยุดชะงักและเข้าขั้นวิกฤตไม่แพ้เกียวโต ต้องรอดูว่ามาตรการที่รัฐกำลังดำเนินการจะสามารถเยียวยาได้มากน้อยเพียงใด ธุรกิจท่องเที่ยวจะกลับมาพลิกฟื้นได้อีกครั้งเมื่อใด คำตอบในวันนี้ยังคงมืดมน คงได้แต่รอจนกว่าวิกฤตไวรัสที่เกิดขึ้นทั่วโลกครั้งนี้จะผ่านพ้นไป ซึ่งทีมงานกินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต ขอเอาใจช่วยให้ทุกคนสามารถก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันในเร็ววัน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก headlines.yahoo
หลังจากต้องอยู่ในความไม่แน่นอนว่าคณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ IOC จะตัดสินใจอย่างไรกับอนาคตของการแข่งขันกีฬาของมนุษยชาติอย่าง โอลิมปิก โตเกียว 2020 เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด19 ล่าสุดหลังการประชุมอย่างเคร่งเครียด ในที่สุด IOC ได้มีประกาศออกมาว่า โอลิมปิกโตเกียว และพาราลิมปิกโตเกียว จำเป็นจะต้องเลื่อนการจัดแข่งขันออกไปเป็นช่วงฤดูร้อนของปีหน้าแทน แต่จะยังคงใช้ชื่อโอลิมปิกโตเกียว2020 และ พาราลิมปิก โตเกียว 2020 เช่นเดิม
การประกาศเลื่อนการจัดการแข่งขันของ IOC ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังการพิจารณาแล้วว่าการระบาดของโรคโควิด 19 จะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันอย่างแน่นอน เพราะนอกจากนักกีฬาจากหลายประเทศเช่น แคนาดา และออสเตรเลียจะออกมาประกาศว่าจะไม่เดินทางมาแข่งขันที่ญี่ปุ่นอย่างแน่นอนเนื่องจากความวิตกเรื่องความปลอดภัยด้านสุขภาพ ขณะที่ผลสำรวจของชาวญี่ปุ่นเองส่วนใหญ่ก็เห็นว่าควรมีการเลื่อนการจัดแข่งขันออกไป เพราะแม้ว่าจะทำให้เกิดความเสียหายทางการการเงินให้กับญี่ปุ่นแต่ก็ดีกว่าจะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตนักกีฬาและผู้มีส่วนร่วมทั้งหมด
ด้านปฏิกิริยาของนักกีฬาจากทั่วโลก ส่วนใหญ่แสดงความผิดหวังที่โอลิมปิกครั้งนี้จะถูกเลื่อนออกไป เพราะนักกีฬาบางคนจะใช้การแข่งขันในครั้งนี้ในการเกษียณตัวเองจากการแข่งขันระดับชาติ ในขณะที่บางคนก็เกรงว่าร่างกายอาจจะไม่อยู่ในสภาพพร้อมแข่งขันในอีก 12 เดือนข้างหน้า แต่ทุกคนก็ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ญี่ปุ่นเคยต้องผจญกับวิบากกรรมในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกมาแล้วหลายครั้ง จนอาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นประเทศเดียวในโลกที่ต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้ได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเขาจะต้องพบกับอุปสรรคที่ไม่สามารถทำให้การจัดโอลิมปิกจัดขึ้นได้ราบรื่นตามกำหนดเวลา
ย้อนอดีตวิบากกรรมของญี่ปุ่นกว่าจะได้จัดโอลิมปิก ที่นี่
ขอบคุณภาพจาก : Reuters/Dado Ruvic
นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่นได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และยอมรับเป็นครั้งแรกในวันนี้ว่า มีความเป็นไปได้การจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ที่จะจัดขึ้นกรุงโตเกียว อาจจะต้องเลื่อนออกไป หลังจากที่ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ตัดสินใจเลื่อนการแข่งขันออกไป จากปัญหาการระบาดของโรคโควิด19 ที่กำลังระบาดอยู่ทั่วโลกในครั้งนี้
การออกมาให้สัมภาษณ์สื่อของนายอาเบะ นับเป็นการยอมรับที่อาจจำเป็นจะต้องเลื่อนการจัดการแข่งขันออกไปหลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงยืนยันว่าจะยังคงเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกในช่วงเวลาเดิมในเดือนกรกฎาคม ที่จะถึงนี้ ท่ามกลางการระบาดที่ยังคงไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติลง ในขณะที่นานาชาติเรียกร้องให้ตัดสินใจใหม่เนื่องจากการระบาดที่เพิ่มสูงขึ้นและเชื่อว่าจะไม่ยุติลงทันการแข่งขันที่จะจัดขึ้นช่วงกลางปีนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตามอาเบะกล่าวว่า “การยกเลิกการจัดการแข่งขันไม่ใช่ทางเลือกสำหรับเรา” นั่นหมายความว่าไม่ว่าอย่างไรญี่ปุ่นจะต้องจัดการแข่งขันให้ได้ภายในปีนี้ตามสัญญาและข้อตกลงที่ได้ทำไว้กับคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ทั้งนี้ไอโอซี จะจัดการประชุมพิเศษในวันอังคารนี้ เพื่อประกาศเกี่ยวกับอนาคตของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียว รวมถึง การเลื่อนที่จะมีการตัดสินใจภายในสี่สัปดาห์ แต่เวลานี้เตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้ว
นายอาเบะกล่าวว่า ที่การตัดสินใจของ IOC สอดคล้องกับนโยบายญี่ปุ่นแม้จะเป็นเรื่องยากที่แต่การตัดสินใจโดยเร็วที่สุดจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“เราจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเช่นคณะกรรมการจัดงานโตเกียว และรัฐบาลกรุงโตเกียวเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม” นายอาเบะกล่าว
ขอบคุณภาพจาก : USA TODAY และ sport.err.ee
ขณะนี้ทางการญี่ปุ่น ยืนยันว่ามีผู้ติดเชื้อ COVID19 แล้วในหลายพื้นที่ ทั้งฮอกไกโด, โตเกียว, ชิบะ, คานางาวะ, ไอจิ, มิเอะ, นารา, วาคายามะ, โอซาก้า, เกียวโต
กระทรวงสาธารณสุขไทย จึงประกาศขอให้คนไทยที่เดินทางไปญี่ปุ่น ตั้งแต่ 1-14 ก.พ. เฝ้าระวังตัวเองเป็นเวลา 14 วัน และพิจารณาเลื่อนการเดินทางหลังจากวันนี้เป็นต้นไป
แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้เพิ่งเดินทางกลับจากญี่ปุ่น ช่วงวันที่ 1-14 ก.พ.63
นอกจากญี่ปุ่นแล้ว ผู้ที่เพิ่งกลับจากจีน สิงคโปร์ระยะนี้แล้ว หากไม่สบาย ขอให้รีบไปตรวจคัดกรองเชื้อ ที่สถาบันบำราศนราดูร ด้วยเช่นกัน
ขอบคุณภาพจาก : livemint.com