วันนี้ กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต นำท่านย้อนที่มาเรื่องนี้ที่เราสรุปจาก Podcast 100+ : EP11 วัคซีน ผู้กอบกู้โลกจากโรคระบาด มาฝากกัน
โรคระบาดจริงๆ แล้วเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยยุคที่มนุษย์เริ่มหยุดอยู่กับที่เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา หรือกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่มนุษย์เข้าสู่ยุคเกษตรกรรม โดยยุคก่อนหน้านั้นขณะที่มนุษย์ยังเป็นนักล่าออกเดินทางอยู่ตลอดเวลาไม่มีการรวมกลุ่มเป็นจำนวนมาก จึงไม่มีหลักฐานบ่งชี้ชัดว่ามีโรคระบาดเป็นรายการครั้งใหญ่ๆ หรือถ้าจะมีบ้างก็ไม่ได้ส่งผลกับคนจำนวนมาก
การระบาดของโรคจะร้ายแรงหรือไม่ขึ้นอยู่กับขนาดของเมือง หรือชุมชน ดังนั้นจะพบว่าโรคระบาดครั้งใหญ่ของโลกที่รุนแรงจะอยู่ในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา มีการบันทึกการระบาดของโรคว่าด้วยจำนวนหลายแสน จนถึงหลายร้อยล้านอย่างที่เราทราบดีก็จะมีไข้หวัดสเปน โรคหัด โรคฝีดาษ ซึ่งโรคร้ายแรงต่างๆ เหล่านี้ที่เดิมถือว่าเป็นโรคติดต่อแต่ปัจจุบันแทบจะกล่าวได้ว่ากำจัดได้หมดแล้วเพราะมีวัคซีนในการป้องกัน
สำหรับโรคระบาดที่เป็นโรคติดต่อและถือว่าร้ายแรงที่สุดในอดีตจนยังมีการพูดถึงมาจนปัจจุบันคือ โรคไข้ทรพิษเพราะโรคนี้จะมีอาการที่เริ่มตั้งแต่จุดแดงปรากฏขึ้นตามตัว กลายเป็นตุ่มน้ำ พุพอง ส่งกลิ่นเน่าและบดบังทางเดินหายใจ ซึ่งสุดท้ายจะมีทั้งคนที่ตาบอด พิการ ทุพพลภาพหรือเสียชีวิต
จุดเริ่มต้นการระบาดของไข้ทรพิษที่ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตกว่าร้อยล้านคน อยู่ในช่วงประมาณปีพ.ศ. 2264 สมัยก่อนช่วงนั้นก็จะมีการอพยพมายังแผ่นดินอเมริกาที่มีการเดินทางโดยเรือ แล้วการระบาดครั้งใหญ่ที่ติดขึ้นมาจากเรือเดินสมุทรที่เดินทางจากยุโรปมาอเมริกา และเป็นครั้งแรกที่โรคระบาดเข้ามายังแผ่นดินอเมริกา สู่คนพื้นเมืองและคนที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ก่อน
และนี่คือจุดเปลี่ยน สำคัญของมนุษยชาติที่เกิดจากคนกลุ่มเล็กๆ 3 คนในเมืองบอสตัน คนแรกคือ คอตตอน มาเธอร์ บาทหลวงที่มีสไตล์การเทศน์ที่เผ็ดร้อนดุดัน ทั้งมีความผิดปกติทางจิตเล็กๆ โดยในบันทึกบอกว่าเป็นคนที่หลงตัวเอง และไม่ได้เป็นที่ชอบพอของคนส่วนใหญ่ที่มีอำนาจ คอตตอน มาเธอร์เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุที่สนใจและศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์มาตั้งเด็ก ภรรยา 2 คนกับลูก 13 คน ใน 15 คนเสียชีวิต และหลายคนในจำนวนนั้นเสียชีวิตด้วยโรคติดต่อ ตัวเขาเองก็จึงศึกษาแล้วก็อ่านวารสารต่างๆ ของอังกฤษแล้วก็ศึกษาการแพทย์ของชนพื้นเมืองอเมริกัน
บุคคลที่ 2 คือโอเนสิมัส ทาสชาวแอฟริกันของคอตตอนมาเธอร์ ที่เล่าถึงวิธีป้องกันไข้ทรพิษในแอฟริกา ซึ่งมีมานานก่อนยุโรปและอเมริกา ดังนั้นเมื่อไข้ทรพิษเริ่มระบาด คอตตอน มาเธอร์จึงเข้าไปเตือนกลุ่มแพทย์ในบอสตันถึงแนวคิดหยุดยั้งการแพร่ระบาดโดยหนึ่งในแนวคิดคือวิธีการของแอฟริการที่ใช้เทคนิคเจาะดูดหนองจากตุ่มที่สุกพองเต็มที่ของผู้ป่วยไข้ทรพิษไปป้ายบนผิวหนังที่กรีดรอไว้ของผู้มีสุขภาพดีที่และนี่คือแนวคิดของวิธีการปลูกฝี
โดยอีกหนึ่งบุคคลที่สำคัญเป็นลำดับสามคือ นายแพทย์ชิมิลิน บอยสันที่ยอมรับเป็นแนวร่วมในดำเนินการด้วยวิธีการดังกล่าว
ขณะเดียวกันคอตตอน มาเธอร์ก็ทดลองวิธีการนี้กับลูกชายวัย 6 ขวบและทาสในครอบครัว และต่อมาก็ขยายผลไปยังชุมชนที่อยากจะป้องกันจากภัยร้ายของโรคระบาด แต่ไม่นานก็ถูกคัดค้านจากกลุ่มแพทย์เพราะขัดกับหลักวิชาในยุคนั้น แต่ก็มีกลุ่มคนที่เห็นด้วยโดยส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวที่มีฐานะเพราะการปลูกฝีในยุคนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง ด้วยประเด็นดังกล่าวส่งผลให้มาเธอร์ คอตตอนตกเป็นเป้าของกระแสสังคม ถึงขั้นว่าโดนปาระเบิดใส่ที่บ้าน แต่โชคดีระเบิดไม่ทำงาน
แต่ตัวเลขที่น่าสนใจก็คือคนที่ปลูกฝีมีอัตราการเสียชีวิตเพียงร้อยละ 2 และพัฒนาการเรื่องการปลูกฝีก็ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งตัวเลขลผู้เสียชีวิตลงเหลือไม่ถึงร้อยละ 0.5
ส่วน 3 บุคคลสำคัญที่มีส่วนผลักดันให้เกิดการปลูกฝีเป็นครั้งแรกในอเมริกาเหนือ พบว่าไม่ได้รับการยกย่องอะไรเลย โอเนซิมัส ทาสที่บอกเล่าวิธีการของแอฟริกาหลังจากที่ไถ่ตัวเองเป็นไทก็หายไปจากบันทึก เช่นเดียวกับนายแพทย์ชิมิลิน บอยสัน ส่วนคอตตอน มาเธอร์ ก็กลายเป็นผู้มีมลทินเพราะนำเสนอแนวคิดก้าวหน้าที่ว่าสาเหตุของโรคระบาดแท้จริงมาจากไวรัส
แนวคิดที่ประหลาดลึกลับพิลึกพิลั่นก็ไม่ได้รับการตีพิมพ์จนกระทั่งต้องรอเวลาอีก 150 ปี ทุกคนต้องยอมรับว่าความสำคัญของเจ้าเชื้อไวรัสหรือจุลชีพเล็กๆ ที่เรียกว่าไวรัส เป็นตัวการที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อครั้งร้ายแรงต่างๆ รวมถึงปัจจุบันที่เราเรียกว่าโรคโควิด- 19 ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน หลังจากช่วงยุคพัน 700 ต้นๆ เมื่อการปลูกฝีเริ่มขึ้นประมาณเกือบ 50 ปีถัดมา การปลูกฝีก็แพร่ระบาดกลับไปอย่างในแถบยุโรป ก็มีจุดเปลี่ยนอีกอันหนึ่งก็คือว่ามีการค้นพบ มีการทดลองจากเมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของอังกฤษ ซึ่งวิธีแบบกาวน์มอส ทำให้ผิวหนังเป็นแผลเลือดไหลแล้วก็ค่อยเอาเชื้อของผู้เป็นไข้ทรพิษมาป้ายเขาไปเห็นบันทึกในหมู่ของคนเลี้ยงวัวว่ามีความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาว่าโรคฝีดาษที่ค้นพบในวัวเมื่อเอามาทดลองสามารถที่จะป้องกันไข้ทรพิษในคนได้
มันก็เป็นแนวคิดที่เป็นจุดกำเนิดของการค้นพบวัคซีนไข้ทรพิษในแบบสมัยใหม่ขึ้นมาจากนายแพทย์เอ็ดเวิร์ค เจนเนอร์ เขามีความเชื่อจากแนวคิดที่เล่าสืบทอดกันมา แต่ก็ยังไม่ทดลองจนกระทั่งวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1976 เขาก็ได้ทำการทดลองปลูกฝีให้เด็กชายวัย 8 ขวบ ชื่อ เจมส์ ฟิลลิปส์ ที่ใช้เชื้อจากหญิงสาวที่ติดเชื้อมาจากฝีดาษวัวนั่นคือการเริ่มต้นของการทำวัคซีนสมัยใหม่ อันเป็นจุดกำเนิดมาจากรากศัพท์ภาษาละติน วัคคา ที่แปลว่าวัว เหมือนเดิมหมอก็เอาเชื้อฝีดาษจากวัวเมื่อได้ผลเขาก็เอาฝีดาษจากวัวเข้ามาทดลองปลูกบนคน และก็มีกลุ่มคนที่ต่อต้านในสมัยก่อนก็จะมีแนวความคิดว่าเหมือนจะบ้าเหรอ คนอีกหน่อยก็อาจจะติดเชื้อแล้วมีบางอย่างที่เราไม่เห็น มีเชื้อโรคมาจากวัว หรือบางทีคนอาจจะมีเขางอกขึ้นมาได้เหมือนวัว
แต่สุดท้ายในที่สุดการฉีดวัคซีนก็พิสูจน์ว่าได้รับความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพกว่าการปลูกฝีมาก
ปัจจุบันก็ทำการพิสูจน์แล้วว่าโรคที่เป็นโรคติดต่อที่คร่าชีวิตผู้คนในสมัยก่อนอย่างไข้ทรพิษ โรคหัด โรคโปลิโอ โรคอหิวาต์ โรคร้ายแรงต่างๆ จะเรียกได้ว่าเกือบหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้ จากวันที่ค้นพบวัคซีนไข้ทรพิษ ก็ยังคร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 300-400 ล้านคนในศตวรรษที่ 20 จนเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 1980 องค์การอนามัยโลกประกาศว่าไข้ทรพิษถูกกำจัดจนหมดสิ้นแล้วจากการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง
วัคซีนของเจนเนอร์เลยกลายเป็นต้นแบบให้เกิดวัคซีนอีกหลายๆ ชนิดและอย่างที่เรารู้ก็ช่วยกำจัดโรคร้ายที่เป็นโรคติดต่อจำนวนมากให้ออกไปจากมนุษยชาติ ทุกวันนี้เราก็รอสิ่งที่เรียกว่าวัคซีนของโควิด-19 ที่จะมีข่าวดีมาในเร็วๆ นี้ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ National Geographic