ชมภาพหายากหมู่บ้าน “ชิราคาวาโกะ” ในวันที่ไร้นักท่องเที่ยวต่างชาติ

0
680
kinyupen

ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลก ในเมืองกิฟุ นับเป็นอีกสถานที่สุดยอดปรารถนาของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเช่นกัน ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโรคโควิด 19 แหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมชมจำนวนมากในแต่ละวัน แม้ว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางลัดเลาะภูเขาเข้าไปให้ถึงด้วยการขนส่งที่สามารถใช้ได้เพียงรถยนต์ส่วนตัว หรือ รถบัสบริการของบริษัทเอกชนเท่านั้น

แต่ก็ไม่ได้ทำให้นักท่องเที่ยวถอดใจแต่อย่างใด เพราะนอกจากจะเป็นหมู่บ้านที่คงความเป็นเอกลักษณ์วิถีชีวิตแบบโบราณของญี่ปุ่นแล้ว สภาพภูมิทัศน์ที่สวยงามในทุกฤดูกาลยังเป็นอีกไฮไลท์สำคัญของหมู่บ้านชิราคาวาโกะแห่งนี้อีกด้วย แต่เพราะสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยังไม่คลี่คลายประเทศญี่ปุ่นที่กลับมีการระบาดระลอกใหม่ขึ้นมา ทำให้นักท่องเที่ยวยังไม่สามารถเดินทางเข้าไปเที่ยวได้ รวมถึงที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะแห่งนี้

 

ในวันนี้ “กินอยู่เป็น 360 องศา” จะพาไปเยี่ยมชมหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ในช่วงที่ไร้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ มีเพียงนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น หรือ นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเท่านั้นที่จะสามารถเดินทางไปได้ โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่ดอกไม้กำลังบานสะพรั่ง ทุ่งนาของชาวบ้านกำลังเขียวชอุ่ม ในขณะที่มีผู้คนไม่มากนัก ทำให้หมู่บ้านในตำนานของญี่ปุ่นแห่งนี้เกือบจะกลายเป็นสวรรค์เล็กๆ ที่เงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามเกินบรรยาย และนับเป็นภาพหายากเพราะในแต่ละวันหากอยู่ในช่วงสถานการณ์ปกติที่แห่งนี้ก็มักจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก

 

 

หมู่บ้านมรดกโลก ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) เป็นหมู่บ้านชาวนาที่ตั้งอยู่ในหุบเขาตามแม่น้ำโชกาวะ (Shogawa) หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ตั้งอยู่บนภูเขาในเขตจังหวัดกิฟูและโทยาม่า (Gifu and Toyama Prefectures) ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู ประกอบไปด้วยบ้านเรือนที่มีอายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี กระจายไปในแนวเหนือ-ใต้ ตามที่ราบแคบๆ ที่ขนานไปกับแม่น้ำโชกาวะ (Shokawa River) ประกอบกันถึง 16 หมู่บ้าน โดยหมู่บ้านโอกิมาจิ (Ogimachi) ซึ่งเป็นหมู่บ้านหลักแมีขนาดใหญ่ที่สุดในชิราคาวาโกะ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1995

 

บ้านแบบ กัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri) ซึ่งเป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี เป็นบ้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม โดยคำว่า “กัสโช” ซึ่งแปลว่า “พนมมือ” ตามรูปแบบของบ้านที่หลังคาชันถึง 60 องศา มีลักษณะคล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน

 

 

ในบ้านแต่ละหลังได้ถูกเปิดให้เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แสดงให้เห็นความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นในพื้นที่นี้ในอดีต ที่หน้าหนาวก็มีหิมะตกปกคลุมจนหนาวจับใจต้องผิงไฟจากเตาแบบโบราณ แต่หากหน้าร้อนก็ร้อนไม่แพ้ประเทศไทยด้วยอุณหภูมิสูงเกือบ 40 องศาเซลเซียสทีเดียว ซึ่งในช่วงที่ไร้นักท่องเที่ยวแบบนี้ทำให้มีผู้คนน้อยมาก การเข้าไปเยี่ยมชมภายในบ้านจึงสามารถทำได้เต็มที่ หลายคนใช้เวลากับการพิจารณาสิ่งของต่างๆ และนึกถึงบรรพบุรุษที่เคยใช้ชีวิตในนั้น

 

 

นอกจากนี้ในบ้านหลังอื่นๆ ก็ได้ถูกดัดแปลงเป็นร้านค้า หรือร้านอาหารที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปใช้บริการได้ ซึ่งค่อนข้างสะดวกในช่วงนี้เพราะไม่ต้องต่อคิวยาวเหมือนตอนที่มีนักท่องเที่ยวมาก แม้จะมีคนน้อยแต่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็บอกว่าไม่เงียบเหงา แต่กลับเป็นความสงบที่แฝงความคึกคักในกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถทำได้

 

ในหมู่บ้านยังมีศาลเจ้าและวัด โดยเฉพาะศาลเจ้าชิราคาวะ ฮะจิมัน ซึ่งเป็นศาลเจ้าชินโต และเป็นศาลเจ้าเก่าแก่แห่งเดียวในหมู่บ้านที่มีหอผลิตสาเกโดบุโรคุ (Doburoku) หรือ สาเกที่หมักจากข้าวในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งจะมีการจัดเทศกาลสาเกนี้ในช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม

 

 

สำหรับหน้าร้อนปีนี้ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นหลายคนที่ได้มาเที่ยวหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ต่างพากันบอกว่ารู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษในอดีต และเป็นหมู่บ้านที่สวยงามมากแม้จะเป็นคนญี่ปุ่นเองก็ยังคิดว่าเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมควรค่าแก่การเดินทางมาเยี่ยมชนมากแม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนที่เหล่าบรรดาดอกไม้หลากสีที่บานเต็มที่ และยังมีสีเขียวสดของทุ่งนาของชาวบ้านตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า ทำเอาคนญี่ปุ่นที่พากันไปเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลโอบ้ง หรือเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ รู้สึกฟินไปตามๆ กัน

 

สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยแบบเราที่ยังไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวได้ในตอนนี้ ก็คงต้องชื่นชมบรรยากาศสวยๆ ของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ กับความสดใสในฤดูร้อน ไปก่อน เพราะภาพที่หมู่บ้านมีผู้คนน้อยๆ แบบนี้อาจจะหาชมได้ไม่มากนัก ตอนนี้ไปไม่ได้ก็ดูรูปและวางแผนล่วงหน้ากันไปก่อน …..ถ้าสถานการณ์กลับมาปกติเมื่อไหร่ค่อยบินไปเที่ยวกันให้หายคิดถึง

 

เครดิตภาพ : คุณฟุราคาวะ โนริโอ

kinyupen