9 อันตรายจากการดื่ม “น้ำอัดลม”

0
1015
kinyupen

“น้ำอัดลม” เครื่องดื่มคลายความร้อน ให้ความสดชื่น หากรับประทานบ่อย ๆ เป็นประจำ คงไม่ส่งผลดีต่อร่างกายนัก ฉะนั้น ควรต้องระวังอันตรายจากโรคต่างๆ ที่มากับน้ำอัดลม

เมื่อตกอยู่ในภาวะที่ร่างกายต้องการความสดชื่น “น้ำอัดลม” จึงเป็นเครื่องดื่มอีกหนึ่งประเภทที่หลายคนต้องการ เพราะทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เมื่อทานปุ๊ปก็ทำให้ร่างกายเกิดความสดชื่นขึ้นมาทันที และยิ่งอยู่ในช่วงฤดูร้อนแล้ว น้ำอัดลมยิ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

ภายใน “น้ำอัดลม” จะมีส่วนผสมที่มีทั้งคาเฟอีนและน้ำตาลซึ่งเป็นสารให้ความหวาน หากนาน ๆ ครั้งรับประทานอาจจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้ารับประทานบ่อย ๆ เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน เพราะภายในน้ำอัดลมมีก๊าซที่บรรจุอยู่ในขวดน้ำอัดลม ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด , กรดคาร์บอนิคที่เกิดในน้ำอัดลมจะเข้าไปกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุ , คาเฟอีนภายในน้ำอัดลมไปกระตุ้นสมอง อาจทำให้เกิดใจสั่นและปวดศีรษะได้ ฉะนั้น คนที่ชื่นชอบการรับประทานน้ำอัดลมบ่อย ๆ ต้องระวังอันตรายจากโรคต่างๆ

 

1. กระดูกพรุน – การดื่มน้ำอัดลมที่มีกรดฟอสฟอริก (Phosphoric) เป็นส่วนประกอบมาก ๆ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia) เนื่องจากกรดนี้จะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมจนทำให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกได้

2. โรคหัวใจและหลอดเลือด – การบริโภคน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลเป็นประจำมีความเชื่อมโยงกับโอกาสเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจที่สูงขึ้น ทั้งยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมัน ปัจจัยการเกิดการอักเสบ และฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความอิ่มในทางที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย

3. น้ำหนักเพิ่ม – จากงานวิจัยและการทดลองต่าง ๆ พบว่า การดื่มน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลในปริมาณมาก มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ฉะนั้น การบริโภคเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณสูงนั้นไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ

4. นอนไม่หลับ – เพราะในน้ำอัดลมบางชนิดมีส่วนผสมของคาเฟอีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายมีแรงกระตุ้น หากรับประทานน้ำอัดลมบ่อย ๆ อาจส่งผลทำให้นอนไม่หลับได้

5. แผลในกระเพาะอาหาร – ภายในน้ำอัดลมมีส่วนผสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดในน้ำอัดลมที่เกิดเป็นกรดคาร์บอนิก เป็นกรดที่ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร หากทานน้ำอัดลมบ่อย ๆ อาจส่งผลให้เป็นแผลในกระเพราะอาหารได้

6. โรคมะเร็ง – เพราะในน้ำอัดลมมีสารที่ก่อมะเร็ง หากรับประทานน้ำอัดลมเป็นประจำ ส่งผลต่อการเป็นโรคมะเร็งได้

7. ส่งผลต่อระบบประสาท , สมองเสื่อม – ในงานวิจัยมีการกล่าวถึงอันตรายจากการดื่มน้ำอัดลมชนิดไม่มีน้ำตาลหรือใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและภาวะสมองเสื่อมอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีที่มาจากงานวิจัยหนึ่งที่ติดตามพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมของผู้เข้าร่วม ผลลัพธ์เผยว่าผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมไร้น้ำตาลมีความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มน้ำอัดลมชนิดไม่มีน้ำตาลถึง 3 เท่า

8. ฟันผุ – อาหารที่มีน้ำตาลสูงย่อมเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพฟัน เนื่องจากน้ำตาลที่ตกค้างจะกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียภายในปาก ทำให้เกิดการจับตัวของแบคทีเรียกับน้ำตาลกลายเป็นคราบหินปูนในที่สุด ไม่เว้นแม้แต่เครื่องดื่มต่าง ๆ ที่มีรสหวานและน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูง แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ แม้แต่น้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลก็ยังอาจเป็นสาเหตุของอาการฟันผุได้เช่นกัน

9. เบาหวาน – การดื่มน้ำอัดลมผสมน้ำตาลในปริมาณสูงอาจนำไปสู่กลุ่มอาการอ้วนลงพุงและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ซึ่งถือเป็นการค้นพบข้อพิสูจน์ที่ผู้ดื่มน้ำอัดลมทุกคนควรตระหนักและจำกัดการดื่มให้ลดน้อยลง เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนลงพุงซึ่งส่งผลให้มีระดับความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูง เกิดไขมันสะสมรอบเอวมาก รวมถึงมีระดับไขมันคอเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคหลอดเลือดในสมองตามมา

 

อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ และผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ให้คำแนะนำสำหรับคนที่ชื่นชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ โดยแนะนำวิธีการเลิกดื่มน้ำอัดลม ซึ่งมี 2 วิธี คือ

(1.) หาสิ่งอื่นมาทดแทน – หากเราไม่ดื่มน้ำอัดลมแล้วเราจะดื่มเครื่องดื่มอะไร อาจจะค่อย ๆ เลิก หรือหักดิบก็ได้ แต่ถ้าจะค่อย ๆ เลิก แนะนำให้เลือกดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่มีน้ำตาลน้อยกว่า หรืออาจจะลดปริมาณการดื่มลง จะช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคจนชินเป็นนิสัย

(2.) หาแรงบันดาลใจ – หาแรงจูงใจในการเลิกดื่มนำอัดลมให้เจอ เช่น ศึกษาข้อเสียของน้ำอัดลมว่ามีอะไรบ้าง เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายคนหันมาเลิกดื่มน้ำอัดลม เพราะมองว่าน้ำอัดลมเป็นปัจจัยเสี่ยงตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะอ้วน และโรคภัยต่าง ๆ หรือบางรายกลัวว่าจะป่วยเป็นโรคเบาหวาน จึงเลิกน้ำอัดลมเพราะต้องการมีสุขภาพที่ดี อีกทั้งเป็นสิ่งที่แพทย์ห้ามไม่ให้กินอยู่แล้วอีกด้วย

 

ทั้งนี้ ใครที่ชื่นชอบการดื่มน้ำอัดลม พอทราบถึงอันตรายของน้ำอัดลมแล้ว อาจจะทำให้เกิดพฤติกรรมการปรับเปลี่ยนการบริโภค ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องถึงขั้นว่ารับประทานน้ำอัดลมไม่ได้ คือสามารถทานได้ แต่เพียงพยายามลดการดื่มน้ำอัดลมให้เหลือเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ขวด ก็เพียงพอ ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ที่สำคัญ “การออกกำลังกาย” ก็สำคัญอย่างยิ่งที่ขาดไม่ได้ ให้เวลาตัวเองสัก 30 นาทีในการออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

 

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก เว็บไซต์ www.pobpad.com

kinyupen