เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ เอสเอ็มอี ดี แบงก์ ได้เปิดตัวโครงการ “SME D Coach” ภายใต้ศูนย์ให้คำปรึกษาธุรกิจครบวงจร โดยจับมือพันธมิตรภาครัฐ เอกชน และสถาบันการเงินกว่า 30 แห่ง ส่งโค้ชมืออาชีพทำหน้าที่ให้คำปรึกษา พร้อมเชื่อมโยงการสนับสนุนครบวงจรในจุดเดียว ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการ เอสเอ็มอี ดี แบงก์ มอบหมายนายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการธพว.กล่าวว่า โครงการ SME D Coach จะเป็นบริการให้คำปรึกษาและแนะนำธุรกิจจากทีมโค้ชมืออาชีพ ทั้งด้านวิชาการและประสบการณ์จริง
ประกอบด้วยบุคลากรของธพว. ควบคู่กับผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานพันธมิตร และอดีตผู้บริหารองค์กรชั้นนำ มาให้คำปรึกษาแนะนำธุรกิจอย่างครบวงจร ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมองเห็นจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง เกิดการพัฒนา สามารถยกระดับธุรกิจ ปรับตัวก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ได้ทันท่วงที
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า จุดเด่นของโครงการ คือการเชื่อมโยงนำศักยภาพเด่นของแต่ละหน่วยงานพันธมิตร มาบูรณาการช่วยเหลือเอสเอ็มอีอย่างเป็นระบบ ครบถ้วนในจุดเดียว สามารถให้คำปรึกษาตั้งแต่อยากจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเฉพาะด้าน
ผู้สนใจสามารถแจ้งความประสงค์ได้ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่
1.ผ่านออนไลน์โปรแกรม Microsoft Booking ในช่องทางต่าง ๆ เช่น สแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ธนาคาร หรือ Line Official Account : SME Development Bank
2.ผ่านคอลล์ เซ็นเตอร์ 1357
3.ที่สำนักงานใหญ่ธพว. คาดว่าภายในสิ้นปีนีจะมีเอสเอ็มอีเข้ารับบริการประมาณ 1,000 คน
“ขณะนี้สถานการณ์การปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาก โดยช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ธพว.สามารถทำได้แล้วถึง 2.5 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำได้เพียง 1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้น การลงทุนเริ่มคลี่คลาย
อีกทั้งธพว.สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าต่อรายได้เพิ่มขึ้น เป็นรายละ 50 ล้านบาทตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จากเดิมช่วงฟื้นฟูกิจการ กระทรวงการคลังกำหนดให้ปล่อยสินเชื่อได้ต่อรายไม่เกิน 15 ล้านบาท ทั้งนี้ ธพว.ตั้งเป้าหมายผลกำไรในปีนี้ไม่น้อยกว่า 700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ทำได้ 529 ล้านบาท และ 268 ล้านบาทในปี 2563” นางสาวนารถนารีกล่าว
