ทีมวิจัยจุฬาฯ เผยผลการทดลองสูตรตำรับสารสกัดสมุนไพรที่มี “เห็ดกระถินพิมาน ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้” มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งปากมดลูกได้ผลดีเช่นเดียวกับการยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม
รศ.ดร.ปฐมวดี ญาณทัศนีย์จิตอาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัยทดสอบสูตรตำรับสารสกัดที่มีเห็ดกระถินพิมานเป็นองค์ประกอบในการพัฒนาเป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งเผยว่า การวิจัยนี้เป็นความร่วมมือระหว่างทีมนักวิจัยจากจุฬาฯ กับภาคเอกชน โดยบริษัท เนเจอร์ เฮิร์บ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท เฮิร์บ ฟอร์ ยู จำกัด
ซึ่งทั้งสองบริษัทมีสูตรตำรับสมุนไพรที่มีเห็ดกระถินพิมาน ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ และตัวยาอื่น ๆ เป็นองค์ประกอบ และเป็นสูตรตำรับที่ได้มีการจำหน่ายในปัจจุบัน โดยก่อนหน้านี้ทางทีมนักวิจัยได้เผยแพร่ข้อมูลแล้วว่า สารสกัดจากสูตรตำรับนี้มีฤทธิ์ยับยั้งและส่งผลต่อการตายของเซลล์มะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งเต้านมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ทีมนักวิจัยได้นำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมในการประชุมวิชาการระดับชาติ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาภาคใต้ ครั้งที่ 7 เพื่ออัปเดตผลการศึกษาในเซลล์มะเร็งปากมดลูก พบว่า
สารสกัดจากสูตรตำรับนี้ยังคงสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งปากมดลูกได้ผลดีเช่นกัน มีผลยับยั้งทั้งมะเร็งปากมดลูกชนิดที่ไม่มีการติดเชื้อ และมีการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความชุกทำให้เกิดเป็นมะเร็งปากมดลูกมากที่สุด จากผลการศึกษาในครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีอีกหนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยมะเร็ง และแนวทางในการรักษาด้วยสมุนไพรไทยอีกด้วย
คุณนันทวรรณชยา ภาจิตประพันธ์ กรรมการผู้จัดการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนเจอร์ เฮิร์บ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัดกล่าวตอนท้ายว่า
“ในขณะนี้เรากำลังร่วมมือกับทีมนักวิจัยจุฬาฯ ทดสอบสูตรตำรับนี้ในเซลล์มะเร็งชนิดอื่นเพิ่มเติม เช่น เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าสูตรตำรับนี้สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิดในหลอดทดลอง พร้อมที่จะนำไปสู่การวิจัยในสัตว์ทดลอง และการวิจัยทางคลินิก
เพื่อให้ผู้ป่วยมีความเชื่อมั่นต่อสูตรตำรับนี้ และเป็นข้อมูลสนับสนุนในการขึ้นทะเบียนเป็นยาพัฒนาจากสมุนไพรที่มีข้อบ่งใช้ในการรักษามะเร็งต่อไป”