อังกฤษประกาศวันที่ 19 กรกฎาคมเป็นวัน Freedom day โควิดเป็นโรคประจำถิ่น ยกเลิกมาตรการ ใช้ชีวิตปกติร่วมกับมัน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 18 เดือนของฟลอร์เต้นรำที่ว่างเปล่า ไนต์คลับของประเทศได้เปิดใหม่ด้วยความปัง
ราวๆ เที่ยงคืนของวันที่ 19 ก.ค. 2564 ชาวอังกฤษส่วนหนึ่งต่างพากันออกมาเฉลิมฉลองให้กับ ‘วันแห่งเสรีภาพ’ ที่ไนต์คลับแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน
เสียงดีเจที่ประกาศนับถอยหลังสู่เที่ยงคืน พร้อมการตัดริบบิ้น ผู้คนจำนวนมากต่างหลั่งไหลเข้ามาเพื่อจับจองพื้นที่เต้น ลูกบอลดิสโก้ระยิบเหนือหัว และเมื่อสิ้นเสียงประกาศในการเข้าสู่วันใหม่ ฝูงชนภายในร้านก็ได้ดื่มด่ำไปกับดนตรีสด ที่บรรเลงบทเพลงอมตะอย่าง “I want to dance with somebody” ในวันแห่งอิสรภาพ
รัฐบาลอังกฤษ ได้ออกมาตรการคลายล็อกดาวน์ ในวันที่ 19 ก.ค. 2564 นี้ ภายใต้ชื่อ “Freedom day” ลดมาตรการควบคุมการแพร่เชื้อโควิด-19 เช่น
- เปิดไนค์คลับได้แล้ว
- ไม่ต้องรักษาระยะห่าง 1 เมตร (ยกเว้นบางสถานที่อย่างโรงพยาบาล)
- ไม่จำกัดจำนวนคนในการรวมกลุ่ม ไม่ว่าจะงานสังสรรค์ โรงละคร งานแข่งขันกีฬา คอนเสิร์ต
- ไม่บังคับให้สวมใส่หน้ากากอนามัย (ยกเว้นร้านค้าและการขนส่งบางแห่งที่ยังต้องใส่)
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์บางราย ได้แสดงความกังวลถึงมาตรการดังกล่าว แม้จะไม่มีข้อบังคับทางกฎหมาย แต่การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังไม่จบลง ยังมีประชากรวัยหนุ่มสาวบางคนที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบ แม้ตัวเลขการฉีดวัคซีนครบทั้ง 2 โดส ของประชากรอยู่ที่ 68.3%
“เราไม่มีทางเลือกเพราะผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจแย่กว่า COVID เอง”
แม้แต่ชาวคลับยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับคลื่นของผู้ป่วยรายใหม่ – มากกว่า 50,000 ต่อวันทั่วสหราชอาณาจักร
“ผมตื่นเต้นมาก – แต่มันผสมกับความรู้สึกของการลงโทษที่ใกล้เข้ามา” Gary Cartmill
สิงคโปร์จะประกาศตามมาเดือนหน้า เร่งฉีดวัคซีนก่อนวันชาติ 9 สิงหาคม นี้
สหรัฐอเมริกาจะตามมาติดๆ หลังฉีดวัคซีนกับประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
นึกถึงนโยบายประเทศไทยที่วางแผนจะเปิด “ภูเก็ต” ภายใต้นโยบาย “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” เพื่อหวังฟื้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวให้เป็นปัจจัยบวก
แต่วัคซีนคือกุญแจสำคัญที่ทำให้หลายประเทศมี Freedom day ซึ่งไทยเรายังคงมึนงงกับเข็มที่ 1 เข็มที่ 3 กันอยู่เลย
ที่มา
Covid rules from 19 July: What has changed? – BBC News
UK COVID: ‘Freedom Day’ celebrations in England amid warnings of nasty hangover (smh.com.au)