แชร์ประสบการณ์ซื้อกองทุนรวมครั้งแรก!

0
568
kinyupen

คนรอบข้างมักเข้าใจผิด หากเมื่อพูดถึงการลงทุนแล้ว คือต้องมีเงินเยอะเท่านั้น พาลให้ไม่กล้าลองวิธีอะไรเลยที่จะช่วยให้เงินงอกเงย นอกเสียจากฝากเข้าธนาคาร …รอให้มีเงินก้อนใหญ่ (ในสักวันหนึ่ง)

 

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ไม่เคยเริ่มต้นให้เงินทำงานจริงๆ เสียที ก็มาจากสารพัดข้ออ้างที่คิดเอาเองทั้งนั้น

ทุกวันนี้ยังต้องใช้หนี้อยู่เลย จะเอาที่ไหนไปออม

เงินยังไม่ถึงหมื่น ลงทุนไม่คุ้มหรอก

ไม่กล้าไปปรึกษาเรื่องลงทุนกับธนาคาร กลัวเสียค่าปรึกษา

แน่นอน ฉันก็เคยคิดแบบนี้จนกระทั่งเลิกคิดถึงเงื่อนไขทั้งหมดทั้งมวล

 

วันนี้กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต มาแชร์ประสบการณ์ “ลงทุน” ครั้งแรกผ่านกองทุนรวม โดยมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งกับเงินอันน้อยนิด

 

ย้อนกลับไปช่วงปี 2562 ฉันยังเป็นน้องใหม่แห่งวัยทำงาน ด้วยเงินเดือนหมื่นต้นๆ แต่หลังเลิกงาน ระหว่างกินข้าวก็หายูทูปฟังไปด้วย จนไปเจอคลิปหนึ่งเป็นช่องการเงินของ Money matters

แต่มีคำหนึ่งที่ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ คือคำว่า “กองทุนรวม” มันคืออะไร? นั่นคือการเปิดโลกใบใหม่ของฉันเลยทีเดียว

 

ตัดสินใจหาข้อมูลเพิ่ม เพราะน่าสนใจดี ไม่ต้องเสี่ยงซื้อหุ้นเอง เงินน้อยก็ลงทุนได้แถมมีผู้จัดการเสร็จสรรพ

ซึ่งกองทุนรวมซื้อได้ที่ธนาคาร เริ่มต้นเพียงกองทุนละ 500 บาท (และบาง บลจ.ไม่มีขั้นต่ำ เริ่มได้ตั้งแต่บาทเดียว!) เพราะกองทุนรวม คือ ทุนที่มากองรวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่ จากนั้นนำไปลงตามสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตามนโยบายการลงทุน และกระจายความเสี่ยงมาเสร็จสรรพ

ดังนั้นการซื้อกองทุนด้วยเงินมาก เงินน้อย ก็กำไรขาดทุนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เหมือนกันทุกคน

ค่าธรรมเนียมการซื้อขายก็คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เช่นกัน

และการปรึกษา เปิดกองทุนกับเจ้าหน้าที่คือฟรี ไม่มีค่าบริการใดๆ เพราะค่าธรรมเนียมรวมอยู่ในกองทุนที่เราซื้อไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

สัปดาห์ต่อมาฉันกำเงิน 3,000 บาท เตรียมไปปรึกษาผู้จัดการกองทุนเต็มที่ แต่การติดต่อหรือปรึกษาผู้จัดการกองทุนต้องไปในช่วงเวลาทำการ ซึ่งตรงกับวันทำงาน ก็ใช้เวลาพักเที่ยง ขอลา 1-2 ชั่วโมงเพื่อไปจัดการธุระที่ธนาคาร

หัวหน้า : แล้วถ้าไปที่ห้างหลังเลิกงานไม่ได้หรือ?

ฉัน : ไม่ได้เลยค่ะ เพราะหนูต้องไปพบกับเจ้าหน้าที่

ที่ขำคือเพื่อนร่วมงานคิดว่าเราต้องรีบไปไกล่เกลี่ยหนี้ซะงั้น เพราะดูกระวนกระวายเหลือเกิน เพิ่งมาอธิบายเอาตอนหลัง (ฮา)

 

ก้าวขาเข้าธนาคาร เพื่อซื้อกองทุนรวมอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ไม่มีความรู้ใดๆ อยู่ในหัว ไม่รู้เลยว่าควรเลิกกองทุนไหน รู้เพียงแต่ว่า

  1. อยากหาทางเลือกอื่น ที่ช่วยเพิ่มเงินได้มากกว่าเงินฝาก
  2. ลงทุนโดยไม่มีความเสี่ยงมาก เพราะความรู้ยังมีน้อย
  3. ใช้เงินน้อยๆ ลงทุนได้ ขอไม่เกินเดือนละ 2-3 พันบาท

ซึ่งกองทุนรวมตอบโจทย์ทุกข้อ

 

ฉันเลือกมาธนาคารสีเขียว เหตุผลแรกคือเพราะมาสะดวกที่สุด (อ่าว..) บอกเจ้าหน้าที่หน้าประตูว่าขอปรึกษาเรื่องกองทุนรวม รอไม่กี่นาทีเจ้าหน้าที่ในชุดสูทก็พาเราเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่เป็นผนังทั้ง 4 ด้านกระจก มีโต๊ะใหญ่ 1 ตัวและเก้าอี้หรู

นี่มันห้องกระจกที่เราสงสัยมาตลอดนี่หว่า!! คิดว่าเป็นห้องประชุมหัวหน้าด้วยซ้ำ เพราะไม่เคยเห็นใครเข้าไปในห้องนี้เลย

คำถามแรกที่เจ้าหน้าที่ถามคือ “ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไหมคะ?”

ซึ่งคำถามนี้สำคัญมาก เพราะผู้ซื้อของทุนจะได้รับผลประโยชน์ทางภาษี หากซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พวก RMF, LTF (ภายหลังเปลี่ยน LTF เป็นกองทุน SSF ลดหย่อนภาษีแทน) พูดง่ายๆ คือใช้ลดหย่อนภาษีได้

แต่ฉันคงต้องเซย์โน เพราะยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี จึงตัดทิ้งกองทุนดังกล่าวไป

 

จากนั้นเจ้าหน้าที่ให้เปิดบัญชีกองทุน (แม้มีบัญชีเงินฝากของธนาคารนั้นๆ แล้ว ก็ต้องเปิดบัญชีกองทุนก่อนจึงจะซื้อกองทุนได้) เจอเซ็นเอกสารเต็มโต๊ะไปหมด และต้องทำแบบประเมินความเสี่ยงซึ่งเรียกว่า “Suitability Test” ผลประเมินมีระดับ 1-8 จากการรับความเสี่ยงได้น้อยไปความเสี่ยงมาก เจ้าหน้าที่จะแนะนำกองทุนที่เหมาะกับเราตามคะแนนความเสี่ยงได้จากแบบประเมิน ของฉันได้ระดับ 4 จัดว่ากลางๆ ไม่มาก ไม่น้อย แต่ไม่มีประสบการณ์เท่าไรนัก

เจ้าหน้าที่จึงแนะนำตราสารหนี้ให้ฉันก่อนเบื้องต้น โดยฉันตัดสินใจซื้อตราสารหนี้ 1,000 บาท และตราสารหนี้ระยะ 1 ปี 2,000 บาท และได้อ่านหนังสือชี้ชวน 2 ชุดใหญ่ (กองทุนละ 1 ชุด)

 

ด้วยความเป็นมือใหม่ มึนๆ งงๆ อ่านยังไม่รู้เรื่อง (ฮา) แต่เจ้าหน้าที่น่ารักค่ะ อยากรู้อะไรถามได้หมด ทั้งเน้นย้ำเงื่อนไขต่างๆ (เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ขายกองทุนนี้ได้เมื่อไร กองทุนเข้าพอร์ตวันไหน ฯลฯ) พร้อมจดโน้ตย่อให้เราเข้าใจง่ายๆ ด้วย

 

 

ยอมรับว่าแอบเซ็ง เคยมโนไว้ว่าหากมีเจ้าหน้าที่จัดการให้ เราก็น่าจะเลือกกองทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงๆ ก็ได้นี่นา แต่วันนี้กลับได้เพียงกองทุนที่ผลเติบโตนิดเดียวเอง (อย่างมากที่สุดคือกำไรปีละ 3%)

ความเป็นจริงทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว เพราะหากผู้ถือกองทุนอย่างเราๆ เกิดตกใจกับความผันผวน อาจทำให้พอร์ตลงทุนของเราพังพินาศได้ง่ายๆ ติดลบมากๆ อาจขายทิ้ง หรือบวกมากๆ ก็ได้ใจ จนทำให้ “ติดดอย”

หากจิตไม่แข็งพอ ทุนสำรองก็มีไม่มาก ดังนั้นรับความเสี่ยงได้แค่ไหนให้เลือกตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำเป็นดีสุด เลือกสินทรัพย์ที่เราเข้าใจได้ยิ่งดี

หากชอบเล่นเกม ก็เลือกกองทุนที่ลงทุนกับ E-Sport, รักษ์โลกก็เลือกกองทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม, เข้าใจอสังหาฯ ก็เลือกกองทุนอสังหาฯ

 

เดือนต่อมา ฉันมาปรึกษาเจ้าหน้าที่อีกครั้ง แม้ไปคนละสาขาก็ฟรี! และไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ช่วงเศรษฐกิจขาลง เจ้าหน้าที่ก็จะตอบตามความจริง ว่าสินทรัพย์ไหนไม่ควรซื้อตอนนี้ ฉันกลับบ้านไปมือเปล่าเลยก็มี (เพราะตอนนั้นสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มี ได้ดอกเบี้ยเยอะกว่าตราสารหนี้ แถมหุ้นยังไม่มีแววจะฟื้นจากโควิด-19)

ผู้จัดการกองทุนจัดเป็นผู้ที่มีความเที่ยงตรงสูง ไม่เหมือนสินค้าบางประเภทที่มักยัดเยียดขายของให้ลูกค้า

 

แม้ปัจจุบันหลากหลายโบรกเกอร์กองทุนสามารถเปิดกองทุนและซื้อขายผ่านทางแอปพลิเคชันได้เองที่บ้าน ตัวฉันตอนนี้ก็ซื้อ-ขายกองทุนรวมผ่านแอปพลิเคชันได้เอง แต่สำหรับผู้เริ่มต้นลงทุน การพบเจ้าหน้าที่ก่อนจะช่วยคุณได้มาก เกิดไม่เข้าใจก็ปรึกษาเจ้าหน้าที่ตรงนั้นได้เลย เห็นไหม โล่งใจขึ้นเยอะ

kinyupen