การใส่บาตรพระที่เดินออกบิณฑบาตในยามเช้า นับเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่นิยมทำ เพราะถือเป็นการทำบุญที่สามารถทำได้ทุกวัน
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการออกบิณฑบาตของพระสงฆ์กลับมีวิถีที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เรียกว่า เป็นกรณีการบิณฑบาตของพระสงฆ์ที่ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย เช่น การบิณฑบาตก่อนอรุณ การกลับเข้าวัดเกินเวลาที่กำหนด รับบิณฑบาตมากเกินความจำเป็น หรือถ่ายเทอาหารให้บุคคลภายนอก นั่งหรือยืนปักหลักบิณฑบาต บริเวณหน้าร้านค้าตลอดจนนำอาหารที่ได้รับให้ร้านจำหน่ายต่อ รวมทั้งหวังแต่ลาภสักการะ
นอกจากนี้ เมื่อบิณฑบาตแล้ว อาหาร ดอกไม้ ธูปเทียนที่ได้ไม่นำกลับวัด ทิ้งไว้ข้างทาง เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมแก่สมณวิสัย ทำให้ผู้ที่ใส่บาตร และผู้ที่พบเห็นเสื่อมความศรัทธา เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ทำให้ล่าสุด สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม กลุ่มคุ้มครองพระพุทธศาสนา ได้ออกหนังสือเรื่องขออนุมัตินำเรื่อง กรณีการบิณฑบาตไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย เสนอมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณากำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น โดยมีข้อเสนอตามข้อกำหนดดังนี้
- การออกบิณฑบาตของพระภิกษุสามเณร จะต้องออกบิณฑบาตเวลาได้รับอรุณ และไม่ควรเกินเวลา 08.00 น.
- การบิณฑบาตโดยยืนหรือนั่งประจำที่ ตามร้านขายอาหาร หรือบิณฑบาตโดยเร่ร่อนไปตามสถานที่ต่างๆ นอกพื้นที่บิณฑบาตแห่งวัดตนไม่สมควรกระทำ
- การบิณฑบาต ด้วยการนั่งรับบาตร หรือนั่งในรถรับบาตรไม่สมควรกระทำ
- สถานที่ที่เป็นแหล่งอโคจร พระภิกษุไม่ควรเข้าไปบิณฑบาต
- การบิณฑบาตไม่ควรสูบบุหรี่ สวมรองเท้า พูดคุยกันโดยไม่มีเหตุจำเป็น ถ่ายเทอาหาร หรือทิ้งดอกไม้ให้กับเจ้าของร้านอาหาร หรือแย่งกันรับของปัจจัย
- เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้ว ไม่ควรยถา…สัพพี
โดยเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ในทุกระดับ ตลอดจนพระวินยาธิการ คอยตรวจตรา สอดส่องดูแล พระภิกษุสามเณรในการบิณฑบาตให้เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัย โดยยึดหลักเสขิยวัตรเป็นเกณฑ์
อย่างไรก็ตามข้อกำหนดดังกล่าวยังคงเป็นเพียงข้อเสนอ ที่จะส่งไปยังมหาเถรสมาคมเพื่อออกเป็นข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการบิณฑบาตของพระสงฆ์ ต่อไป
แต่ในช่วงนี้สำหรับประชาชนผู้เป็นศาสนิกชนอย่างเรา คงต้องพิจารณาตามแต่ความเลื่อมใสศรัทธาของแต่ละคน ในการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จนกว่าจะมีการกำหนดที่ชัดเจนจากมหาเถรสมาคมออกมาเพื่อการทำบุญตักบาตรเป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยต่อไป
