ในช่วงที่ผ่านมาหลายคลินิกโปรโมท การฝังรองพื้นกึ่งถาวรนี้กันมาก ด้วยหลากหลายคำโฆษณาชวนเชื่อ ไม่ว่าจะประโยชน์ที่ว่าทำให้คุณไม่ต้องแต่งหน้าหนักระหว่างวัน แต่สามารถเผยผิวเนียนสวยใสแม้ใส่แมสก์ ทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องรูขุมขนอุดตัน หรือจะเป็นเรื่องของการเติมเต็มวิตามินลงสู่ชั้นผิวที่มีในทรีตเมนท์ตัวนี้
อย่างไรก็ดี กิน อยู่ เป็น 360 แห่งการใช้ชีวิต ขอมาขยายเรื่องนี้กัน โดย การฝังสีรองพื้นกึ่งถาวร ด้วย BB Glow เป็นเทรนด์เครื่องสำอางล่าสุดจากประเทศเกาหลีที่เข้ามาในช่วงปี 2019 เป็นการผลักวิตามินเข้มข้นสูงเข้าสู้ชั้นผิวหน้า ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเซรั่ม โดยใช้เข็มขนาดเล็กมาก (Micro-Needling) ในการผลักวิตามินเข้าไป ซึ่งผู้รับบริการสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ วิธีการนี้จะช่วยประหยัดเวลาในการแต่งหน้าและช่วยลดความเสี่ยงที่รูขุมขนจะอุดตันจากเครื่องสำอางหรือรองพื้นที่ใช้ หลังจากทำผิวหน้าจะสว่าง แลดูเนียนเด้งขึ้นมา 1 ระดับจากเฉดผิวเดิม ผิวบริเวณที่มีรอยดำ รอยแดงฝ้าดูจางลง โดยผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวหน้าของแต่ละบุคคล ซึ่งโดยปกติแล้วจะเห็นผลนาน 1- 2 เดือน โดยหากกลับมาทำทรีตเมนต์ซ้ำก็จะสามารถอยู่ได้นานถึง 4 เดือน สนนราคาความสวยเริ่มต้นที่ประมาณ 2,000 บาท
โดยปกติแล้วการทำ Microneedling นั้นจะช่วยกระตุ้นการเกิดคอลลาเจนได้ถึง 200% ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนเต่งตึงแลดูอ่อนกว่าวัย นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยสิว จุดด่างดำให้ดูจางลง เส้นริ้วรอยบางๆ ดูตื้นขึ้น ช่วยให้รูขุมขนกว้างกลับมากระชับ
โดยขั้นตอนในการทำโดยทั่วไป จะเริ่มด้วยการใช้
1. เจลผลัดเซลล์ผิว ที่มีส่วนประกอบของกรดชิคิมิกและกรดแมนเดลิคเจล ที่ช่วยทำความสะอาดผิวชั้นบนสุด ช่วยให้ผิวสดชื่นขจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกจากรูขุมขนกระตุ้นการสร้างชั้นผิวที่ลึกขึ้นและเพิ่มความสามารถของผิวหนังในการดูดซับเซรั่ม BB Glow
2. ใช้โฟมทำความสะอาด ที่มีสารที่ทำให้กรดเป็นกลางหลังจาก ใช้เจลผลัดเซลล์ผิวเก่า ด้วยการคืนค่า pH ที่เหมาะสมของผิว ช่วยลดรอยแดงและเตรียมผิวสำหรับขั้นตอนต่อไป
3. เลือก BB Glow Booster ที่มีส่วนผสมของวิตามิน A, B, E และ D โดยมีให้เลือกกว่า 5 ประเภทตามความต้องการแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน
- Salmon DNA Gold– เหมาะสำหรับความต้องการลดเลือนริ้วรอยผิวรวมถึงรักษาริ้วรอยแผลเป็นปรับผิวให้เรียบเนียนและปรับสมดุลของโทนสี
- AC Stem Cell Gold – เหมาะสำหรับการรักษาจากสิวหรือผิวที่ระคายเคือง
- Peptide Gold – ช่วยทำให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น เสริมสร้างความยืดหยุ่นของผิวและส่งเสริมการฟื้นฟูผิว
- Aqua stem cell culture – เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าแก่ก่อนวัยช่วยให้เซลล์ผิวหนังเจริญเติบโตได้ดีและช่วยฟื้นฟูผิว
- Ampoule Whitening – ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวและรักษารอยดำ ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส
4. เลือก สี BB Glowตามโทนสีผิว โดยส่วนใหญ่จะมี 5 เฉดสีหลักที่สามารถผสมเข้าด้วยกันได้ตามต้องการ
- Light Rose – สีชมพูอ่อนเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวสีอ่อน
- Light – เฉดสีที่เบาที่สุดเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวสีอ่อน
- Medium – Medium Shade เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวสีปานกลาง
- Dark – เฉดสีเข้มเหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวเข้ม
- Deep Plus – เฉดสีเข้มที่สุดเหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวเข้มมาก
หมายเหตุ : การทำในแต่ละจุดจะใช้สีที่แตกต่างกันเช่นบริเวณ แก้ม และบริเวณเปลือกตา ก็จำเป็นที่จะต้องใช้เฉดสีที่อ่อนกว่าและเหมาะสมกับสีผิวของแต่ละคน โดยการใช้ Derma Pen หรือ Microneedling ในการผลักเซรั่มและ BB เข้าไปในชั้นผิว
5. ให้ความชุ่มชื้นและบำรุงผิวด้วยครีมบำรุง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาอาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้และฟื้นฟูผิวหลังการทำ BB Glow
ทั้งนี้ Rebecca Treston ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวหน้า อธิบายผลข้างเคียงและความเสี่ยงของการรักษาด้วย BB Glow ไว้ใน BAZAAR สรุปได้ว่า “BB Creams เต็มไปด้วยสารที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจสะสมบนผิวของคุณ และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพ้และการอักเสบของผิวหนัง โดยปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือในระยะยาวการรักษานี้ อาจ นำไปสู่โรคมะเร็งและเป็นผลร้ายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและอาจใช้เวลาเป็นปี”
กิน อยู่ เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต จึงแนะนำว่าทุกครั้งที่คุณอยากทดลองสิ่งใหม่ๆ ควรใส่ใจกับการหาข้อมูล และเลือกคลินิกหรือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาผิวหรือเสริมคุณให้สวยได้อย่างปลอดภัย เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับและสุดท้ายไม่ว่าสถานการณ์โควิดจะเป็นอย่างไร? ขอให้คุณสวยอย่างมั่นใจในตัวของคุณเอง
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก www.bbglow.com, www.harpersbazaararabia.com