ย้อนประวัติศาสตร์ความรุนแรงของโรค “กาฬโรค” โรคติดต่อที่เกิดจากสัตว์ฟันแทะ นับเป็นโรคร้ายเก่าแก่ตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมันตะวันออก คร่าชีวิตผู้คนไปหลายสิบล้านคน รวมถึงไทยที่คาดว่าน่าจะระบาดตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง จนถึง สมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนค้นพบวัคซีนป้องกันได้ในปี ค.ศ.1897 ล่าสุดจีนออกคำเตือนระดับสาม หลังพบผู้ป่วยติดโรคนี้อีกครั้งที่มองโกเลีย
จีนออกคำเตือนให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือกับการระบาดของกาฬโรค หลังจากโรงพยาบาลท้องถิ่นเขตปกครองตนเองมองโกเลียในของจีนพบผู้ป่วยที่ต้องสงสัยว่าอาจเป็นกาฬโรค พร้อมกับคำสั่งห้ามการล่าสัตว์และการกินสัตว์ที่เป็นพาหะโรคระบาดซึ่งเป็นสัตว์ประเภทฟันแทะ โดยเฉพาะตัวมาร์มอต (marmots) หรือตัวกระรอกขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรคครั้งนี้ เมื่อมีรายงานว่าพี่น้องสองคนในพื้นที่ล้มป่วยหลังรับประทานเนื้อของมัน
จีนพบผู้ป่วยกาฬโรคในมองโกเลีย 4 รายในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วซึ่งรวมถึงกาฬโรคปอดบวม 2 รายซึ่งเป็นโรคระบาดร้ายแรงกว่ากาฬโรคปกติทำให้ล่าสุดจีนต้องเตรียมรับมือกับการระบาดของโรคกาฬโรค เนื่องจากในประวัติศาสตร์เคยเป็นโรคที่เคยเกิดการระบาดใหญ่ไปทั่วโลก รู้จักกันในชื่อ “Black Death” คร่าชีวิตชาวยุโรปไปหลายสิบล้านคน
กาฬโรค เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (zoonosis) แพร่จากสัตว์ฟันแทะและหมัดของมัน ซึ่งแพร่เชื้อแบคทีเรีย Yersinia pestis ไปยังสัตว์อื่นอีกหลายชนิดรวมทั้งคน
อาการและอาการแสดงเริ่มแรกของโรคกาฬโรค จะยังไม่จำเพาะ คือ มีไข้ หนาวสั่น ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดกล้ามเนื้ออาเจียน ไม่มีเรี่ยวแรง เจ็บคอ และปวดศีรษะ อาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบจะเกิดในบริเวณที่ต่อมเหล่านั้นรับน้ำเหลืองมาจากบริเวณที่ถูกหมัดกัด มักเป็นบริเวณขาหนีบ และอาจจะพบร่องรอยของแผลหมัดกัดเหลืออยู่ ต่อมน้ำเหลืองที่อักเสบจะบวม แดง เจ็บและอาจจะกลายเป็นฝี มักจะมีไข้ร่วมด้วยเสมอ ภาวะแทรกซ้อนที่พบ ได้แก่ ภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด ปอดบวม หากไม่ได้รับการรักษาก็มีโอกาสเสียชีวิตได้ ร้อยละ 50-60 โรคกาฬโรคนี้นับเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข
กาฬโรคในคนที่แพร่ระบาดทั่วโลกเป็นผลจากการที่คนถูกหมัดหนู (Xenopsylla cheopis หรือ oriental rat flea) ที่มีเชื้อกัด สำหรับปัจจัยอื่น ได้แก่ การจับต้องสัตว์ที่เป็นโรคโดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะ กระต่ายและสัตว์กินเนื้อชนิดอื่นๆ การหายใจละอองเชื้อผู้ป่วย หรือสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น แมว สุนัข การถูกสัตว์กัด การสัมผัสกับหนองฝีจากสัตว์ หรือการจับต้องตัวอย่างเชื้อที่เพาะเลี้ยงใน ห้องปฏิบัติการอย่างไม่ระมัดระวัง การติดต่อจากคนสู่คนโดยถูกหมัดคน (Pulex irritans) กัดเป็นสาเหตุสำคัญในสถานที่ที่มีการระบาดของกาฬโรค หรือมีหมัดในสัตว์เลี้ยงเป็นจำนวนมาก
กาฬโรค หรือ มรณะดำ หรือ “The Black Death” นับเป็นโรคที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ในอดีตมีการระบาดใหญ่ของกาฬโรคเกิดขึ้น 3 ครั้ง ได้แก่
ช่วงที่ 1 ยุคกลางตอนต้น ในสมัยจักรวรรดิโรมันตะวันออก คริสต์ศตวรรษที่ 6 ในระหว่างปี ค.ศ. 541-542 คาดกันว่ากาฬโรคมีต้นกำเนิดในจีนแพร่กระจายสู่กรุงคอนสแตนติโนเปิล จากธัญพืชที่นำเข้าจากอียิปต์ กอปรกับนครแห่งนี้มีหนูและหมัดเป็นจำนวนมากจึงระบาดอย่างรวดเร็ว มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยวันละ 10,000 คน ต่อมาแพร่เข้าสู่เมดิเตอร์เรเนียนในปี ค.ศ.588 ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกมากกว่า 100 ล้านคน จำนวนประชากรในยุโรปลดลงกว่า 50% ในช่วง ค.ศ.541-700
ช่วงที่ 2 ในคริสต์ศตวรรษที่ 14-19 เรียกการระบาดนี้ว่า “Great Pestilence” เริ่มต้นจากตอนใต้ของประเทศอินเดียและประเทศจีนระบาดไปตลอดเส้นทางสายไหม (Silk Road) กระจายไปทั่วเอเชีย, ยุโรป และแอฟริกา และ ยุโรปสันนิษฐานว่าพ่อค้าชาวจีน-มองโกลเป็นผู้นำเชื้อมาแพร่ในยุโรป ทำให้เกิดการแพร่ระบาดในยุโรปอย่างต่อเนื่อง การแพร่ระบาดต่อเนื่องมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 เรียกกันว่า “แบล็กเดธ” (Black Death) การระบาดในยุโรปช่วงนี้มีประชากรตายประมาณ 25 ล้านคน
ช่วงที่ 3 ศตวรรษที่ 19-20 ซึ่งเป็นการระบาดครั้งสุดท้าย เริ่มขึ้นที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ในปี ค.ศ.1855 มีการแพร่ระบาดไปทั่วทุกทวีปของโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 12 ล้านคน ซึ่งขณะนั้นยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรค จนใน ค.ศ.1894 Alexandre Emile Jean Yersin แพทย์ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ค้นพบเชื้อก่อโรคคือ เชื้อแบคทีเรีย Bacillus pestis เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonosis) ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ฟันแทะและหมัด ได้มีการตั้งชื่อเชื้อเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบว่า “Yersinia”
หลังจากค้นพบแบคทีเรีย “Yersinia pestis” นำไปสู่การคิดวิธีรักษากาฬโรค มีการพัฒนาและทดลองใช้วัคซีนต้านเชื้อกาฬโรคในต่อมน้ำเหลืองเป็นครั้งแรกในปี 1897 ปัจจุบันนี้กาฬโรคสามารถรักษาหายได้หากตรวจพบเร็วโดยใช้ยาปฏิชีวนะต่างๆ ปัจจุบันไม่ค่อยพบการระบาดของโรคนี้
สำหรับการระบาดของกาฬโรคในประเทศไทย จากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ.2182 ว่า ก่อนที่จะสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นมา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ถูกเนรเทศมาจากเมืองจีน ขึ้นสำเภามาลงที่เมืองปัตตานี แล้วย้ายอยู่ตามเมืองท่าชายทะเลต่างๆ เช่น เมืองนครศรีธรรมราช กุยบุรี (ประจวบคีรีขันธ์) เพชรบุรี บางกอก แล้วมาปราบโรคระบาด สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นในปี พ.ศ.1893 ซึ่งตรงกับ ค.ศ.1350 ซึ่งเป็นปีที่มีการระบาดใหญ่ของ Black Death ในยุโรป และจากข้อมูลการระบาดของกาฬโรคในจีนซึ่งร่วมสมัยกันอยู่ โรค “ห่า” ที่พระเจ้าอู่ทองปราบได้ จึงคาดว่าโรค “ห่า” ที่กล่าวถึงน่าจะเป็น “กาฬโรค”
ระยะต่อมาพบว่ากาฬโรคจากเมืองจีนยังได้มีการแพร่กระจายเข้ามาในไทยอีก ในสมัยรัชกาลที่ 5 ตามเอกสารเก่า (สำเนาพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ขณะทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ร.ศ.116 พิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 14 ร.ศ.116) เรื่องห้ามเรือจากซัวเถาเข้ากรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2440 ว่า
“กาฬโรค (คือโรคห่า) ได้เกิดขึ้นที่เมืองซัวเถานั้น……กำปั่นลำหนึ่งลำใดออกจากเมืองซัวเถาและจะเข้ามาในกรุงนี้ ต้องหยุดทอดสมอที่เกาะไผ่ในกำหนดเก้าวันเต็มแล้ว และถ้าแพทย์ได้ตรวจแจ้งว่ากาฬโรค……ไม่ได้มีและได้เกิดในเรือนั้นแล้ว จึงจะยอมให้กำปั่นลำนั้นเดินต่อไปจนถึงที่จอดในกรุงนี้ได้”
สำหรับรายงานการระบาดของกาฬโรคอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยนั้น มีรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2447 ว่าพบการระบาดเกิดขึ้นที่บริเวณตึกแดงและตึกขาว ซึ่งเป็นโกดังเก็บสินค้าที่จังหวัดธนบุรี ซึ่งเป็นที่อยู่ของพ่อค้าชาวอินเดีย สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากหนูที่มีเชื้อกาฬโรคติดมาจากเรือสินค้าที่มาจากเมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย จากนั้นกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ ที่มีการติดต่อค้าขายกับจังหวัดพระนคร โดยทางบก ทางเรือและทางรถไฟ แต่ไม่มีสถิติจำนวนผู้ป่วยตายที่แน่นอน
ต่อมาในปี พ.ศ.2456 มีรายงานว่าเกิดกาฬโรคระบาดที่จังหวัดนครปฐม มีคนตาย 300 คน และครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.2495 มีรายงานผู้ป่วย 2 รายตาย 1 ราย ที่ตลาดตาคลี นครสวรรค์ ซึ่งถือเป็นรายงานการระบาดของกาฬโรคครั้งสุดท้ายในประเทศไทย จากนั้นไม่มีรายงานกาฬโรคเกิดขึ้นในประเทศไทยจนปัจจุบันนี้