ความเงียบเหงา และไร้ผู้คนของเมืองท่องเที่ยวสำคัญระดับโลกอย่าง โรม มิลาน และเวนิส ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก หลังการประกาศปิดประเทศของจูเซปเป้ คอนเต้ นายกรัฐมนตรี ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยสื่อต่างประเทศต่างระบุตรงกันว่าเหตุการณ์เช่นนี้นับเป็นบรรยากาศที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก
ด้วยภูมิประเทศที่สวยงาม และประวัติศาสตร์อันยาวนานทำให้ ประเทศอิตาลีเคยครองอันดับ 5 ของประเทศที่มีชาวต่างชาติมาเยือนมากที่สุดในโลก โดยผู้คนส่วนใหญ่เข้าชมประเทศอิตาลีในด้านศิลปะ, อาหาร, ประวัติศาสตร์, แฟชั่น และวัฒนธรรมอันอุดมสมบูรณ์, ฝั่งทะเลและชายหาดที่สวยงาม, ภูเขา และอนุสาวรีย์โบราณที่ล้ำค่า นอกจากนี้ ประเทศอิตาลียังมีมรดกโลกมากกว่าประเทศอื่นๆ ในโลกอีกด้วย
หลังเกิดโรคระบาดโควิด19 กระจายไปทั่วประเทศ จนกระทั่งอิตาลีกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด19 เป็นอันดับ 2 รองจากจีน และรัฐบาลประกาศปิดประเทศ สภาพบ้านเมืองในพื้นที่ท่องเที่ยวดังๆ จึงเงียบงันลงถนัดตา ถึงขนาดที่สื่อบางแห่งถึงกับเรียกเมืองที่ไร้ผู้คนของอิตาลีเหล่านี้ว่า “เมืองร้าง” หรือ “เมืองผี” กันเลยทีเดียว
สภาพความเงียบงันของอดีตเมืองที่เคยคึกคัก อย่างโรม มิลาน หรือเวนิส กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากชาวโลก ด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีโซเชียลเน็ตเวิร์ก บรรยากาศบ้านเมืองที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด19 จึงถูกเผยแพร่ออกมาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะภาพความแตกต่างระหว่างความคึกคักและความเงียบเหงาของเมืองที่เห็นได้ชัดตอนนี้
ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์สำนักหนึ่งของอิตาลี ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น ว่า เขาไม่เคยเห็นสภาพของเมืองในลักษณะที่เปรียบเสมือนเมืองร้างแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะกรุงโรมที่เคยมีชื่อเสียงเรื่องของการจราจรที่คับคั่ง แต่ตอนนี้กลับแทบจะไม่มีรถวิ่งบนถนน ในขณะที่สำนักงานหลายแห่งขอให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน โรงเรียนถูกปิดลง และเด็กๆ ก็ต้องอยู่แต่ภายในบ้านเท่านั้น ขณะที่เมืองที่เขาอยู่ เคยเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว และมักจะได้ยินคนพูดภาษาอังกฤษหรือรัสเซียเสมอ แต่ขณะนี้แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวสักคน แม้กระทั่งเสียงการพูดคุยในภาษาอิตาลีก็แทบจะไม่มี
คนขับแท็กซี่ในกรุงโรม ระบุว่า ตอนนี้ทุกอย่างในโรม เหมือนกับได้ตายไปแล้ว งานทุกอย่างเขาถูกยกเลิกหมดตั้งแต่เดือนเมษายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม บนถนนที่เคยคับคั่งไปด้วยรถยนต์ก็แทบจะไม่มีรถวิ่ง ดังนั้นการใช้เวลาบนถนนในเวลานี้จึงรวดเร็วกว่าเดิมมาก
“ตอนนี้หลายครอบครัวไม่มีรายได้ สิ่งที่กังวลมากกว่าการติดเชื้อนั่นคือพวกเขาจะใช้ชีวิตต่ออย่างไรหากไม่มีรายได้”
ขณะที่บัญชีทวิตเตอร์รายหนึ่งเล่าถึงบรรยากาศการใช้ชีวิตในกรุงโรม ในระหว่างที่มีการปิดประเทศว่า เมืองที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนแต่ตอนนี้แทบไม่มีใครเดิน รถรางไม่วิ่ง ขณะที่บนถนนก็มีรถอยู่น้อยมาก ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่น่าเชื่อและเหนือความเป็นจริงมาก
บาร์หลายแห่งมีผู้คนนั่งอยู่บางตา และแต่ละคนก็ต่างมองหน้ากันด้วยความหวาดระแวง ขณะที่บาริสต้าเองรักษาความห่างระหว่างลูกค้าอยู่ที่ 1 เมตรแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะส่งรอยยิ้มให้กันเพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียดเกินไปนัก ในขณะที่อาหารที่เปิดขายที่เคยเปิดบริการตลอดเวลาตอนนี้ลดเหลือเพียงอาหารเช้า และอาหารกลางวันแบบเบาๆ โดยการซื้อขายจะทำผ่านหน้าต่างๆ เล็กๆ ของร้านเท่านั้น
นอกจากนี้ชาวอิตาลียังพากันแชร์ภาพบรรยากาศต่างๆ ของความแตกตื่นหลังประกาศปิดเมืองของนายกรัฐมนตรีอิตาลี โดยเฉพาะการต่อคิวยาวเพื่อรอซื้อสินค้าจำเป็นในซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังไปยันสหกรณ์เล็กๆ สำหรับผู้สูงอายุเลยทีเดียว และสินค้าส่วนใหญ่ที่พวกเขาซื้อตุนเก็บไว้คือพาสต้าสำเร็จรูป ซึ่งเป็นอาหารที่สามารถทำกินง่ายที่สุด
เมื่อสำรวจในพื้นที่ประวัติศาสตร์สำคัญที่เป็นจุดท่องเที่ยว เช่น น้ำพุเทรวี ที่ปกติจะเต็มไปด้วยเสียงผู้คนจอแจในการมาเยือนที่แห่งนี้ แต่ขณะนี้ไม่มีผู้คนเลย มีแต่เสียงน้ำพุที่ยังคงเปิด และดูเหมือนว่ามันจะมีเสียงดังกว่าปกติในช่วงนี้ ขณะที่ร้านค้าหรูในย่านช้อปปิ้งชื่อดัง บนถนน Via del Corso ,Piazza del Popolo และ Piazza Venezia ก็ถูกทิ้งร้าง ไม่มีคนเดินช้อปปิ้งเหมือนเคย
“ตอนนี้ผู้คนบนถนนที่ไม่เคยยอมแพ้กันเพื่อเบียดเสียดเดินบนถนน แต่วันนี้ทุกคนต่างๆ หยุดให้อีกฝ่ายเดินออกไปในระยะห่าง ในขณะที่ในสถานีรถไฟก็แทบไม่มีคน ทุกคนล้วนใส่หน้ากากอนามัยและแยกตัวออกจากกันในระยะที่จะทำให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัย ส่วนที่ร้านขายยาเองก็มีประกาศปิดว่าไม่มีหน้ากากอนามัยขายอีกแล้ว ทุกอย่างดูเงียบเหงาไปหมด”
ทั้งนี้จากรายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขอิตาลี รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 977 คน และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 168 ราย ส่งผลให้ยอดสะสมผู้ติดเชื้อในประเทศทะยานขึ้นมาอยู่ที่ 10,149 คน และยอดสะสมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 631 นับเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด19 สูงสุดเป็นอันสองรองจากจีนในขณะนี้
เรียบเรียงจาก : https://www.bbc.com/news/in-pictures-51815536