นาทีนี้มีผู้คนสนใจการลงทุนเพิ่มขึ้นมากมาย พากันเปิดพอร์ตการลงทุน ทั้งกองทุน หุ้น หรือแม้แต่คริปโตเคอเรนซี่ กันถ้วนหน้า อาจเนื่องด้วยความว่างอันมาจากวิกฤตไวรัสแพร่ระบาดที่ทำให้ต้องอยู่บ้านเฉยๆ
บวกกับข่าวสารที่สามารถเข้าถึงได้มากกว่าเดิม และผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ ที่ “ร้อนแรงมาก” ในช่วงนี้ โดยเฉพาะหุ้นที่ “เปลี่ยนแปลงโลก” อย่างหุ้นไฮเทค สร้างผลงานที่โดดเด่นมากและอยู่ระหว่าง 100 ถึง 200% ต่อปีในปี 2563 ที่ผ่านมา
แต่ใช่ว่ามันจะดีเหมือนเดิมหรือดีมากๆ สำหรับปีนี้และปีต่อๆ ไป กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิตชวนคุณตั้งสติ! โดยนำแง่คิดการถือกองทุนรวมที่นักลงทุนมือใหม่ควรรู้ จาก ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย มาฝาก
ปี 2563 นั้นเป็นปีที่ดีมากสำหรับหุ้นไฮเทค หุ้นไฮเทค “เปลี่ยนโลก” อื่นๆ ที่เติบโตขึ้นอานิสงส์จากโควิด-19 ที่เร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการที่สภาพคล่องทางการเงินที่สูงลิ่ว ทำให้เกิดการเก็งกำไรมหาศาลในตลาดของหุ้นกลุ่มนี้
แต่ทั้งหมดนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอและอย่างรวดเร็วในปีต่อๆ ไป เฉพาะอย่างยิ่ง สภาพคล่องทางการเงินที่อาจจะตึงตัวขึ้นเห็นได้จากผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาว 10 ปี ของอเมริกาที่เพิ่มขึ้นแรงอย่างน่ากลัวในช่วง2-3 วันนี้ เนื่องจากคนคาดว่าโควิด -19 กำลังจะผ่านไปและเศรษฐกิจจะกลับมาโตร้อนแรงหลังโควิด ซึ่งจะทำให้หุ้นเศรษฐกิจเก่ากลับ มาแต่หุ้นไฮเทคจะ “ปรับฐาน” จากที่ราคาร้อนแรงเกินไป”
นอกจากนี้สิ่งที่ “นักลงทุนขาใหญ่” ชอบทำกันเวลาซื้อหรือขายหุ้นตัวไหนก็จะ “เปิดเผย” ต่อสาธารณะโดยบอกว่าเป็นการแสดงถึงการมี “ธรรมาภิบาลที่ดี” แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการ “โฆษณา” หุ้น ซึ่งอาจจะทำให้คน “แห่เข้ามาซื้อตาม” ผลก็คือราคาหุ้นวิ่งขึ้นมากผิดปกติได้
กลยุทธ์การเลือกกองทุนรวมหรือ ETF โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
1. อย่าซื้อกองทุนรวมที่มีผลงานดีมากๆ ในอดีต
เพราะประวัติศาสตร์บอกเราว่า กองทุนรวมที่มีผลงานดีในอดีตนั้น มักจะไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะดีด้วย และกองทุนที่ผลงานแย่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแย่ตลอดตรงกันข้าม กองที่ผลงานในอดีตดี ผลงานในอนาคตก็มักจะแย่ลง และกองทุนที่แย่ โดยเฉลี่ยแล้วในอนาคตก็จะดีขึ้น กลายเป็นว่าที่ผลงานดีนั้นจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่ใช่ “ฝีมือ” ของผู้บริหาร แต่เป็นเรื่องของ “โชค” มากกว่า ในขณะที่ขนาดของกองทุนก็มีส่วนมากที่ทำให้สามารถสร้างผลงานที่ดีมากแบบสุดโต่งได้และเพราะว่าโชคนั้น มักจะไม่เกิดซ้ำๆ ติดต่อกันยาวนาน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่ากองทุนที่มีผลงานที่ดีในที่สุดก็จะแย่ลง และ “โชค” กลับไปอยู่ในมือของคนที่มีผลงานแย่ในอดีต
2. อย่าเชื่อว่าผู้บริหารกองทุนเป็น “เซียน” ที่จะสามารถสร้างผลตอบแทน “เหนือโลก” ได้ยาวนาน
เคที่ วูด เองนั้นเพิ่งจะก่อตั้งและบริหารกองทุนหรือ ETF ของ ARK มาแค่ 7 ปี ซึ่งในแง่ของการลงทุนต้องถือว่าสั้นมาก และไม่สามารถที่จะพิสูจน์อะไรได้ในขณะที่วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น บริหารเงินลงทุนมากว่า 60 ปี ซึ่งน่าจะต้องถือว่าไม่มีคำว่า “ฟลุ๊ค” และแม้แต่บัฟเฟต์เอง ถ้าศึกษาให้ดีก็จะพบว่า ผลงานการลงทุนในช่วง 30 ปีหลังนั้นก็ไม่ได้น่าประทับใจอะไรและแพ้ดัชนีตลาดด้วยซ้ำดังนั้น สำหรับผมแล้ว เคที่ วูด น่าจะยังไม่สามารถถูกบันทึกว่าเป็น “เซียน” ในระดับมือต้นๆ ของโลกได้ และนี่ก็คือ Dilemma หรือปัญหาของการเลือกผู้บริหารกองทุนที่ว่า ไม่รู้ว่าเป็นเซียนจริงไหม จะรู้ก็ต่อเมื่อเวลามันอาจจะผ่านไปแล้วนานเป็นสิบๆ ปีขึ้นไป
3. การตั้งสมมุติฐานว่าผู้บริหารกองทุนรวมทั้งหลายนั้น มีฝีมือเท่ากันและเป็นฝีมือระดับ “เฉลี่ย” หรือกลางๆ โดยไม่สนใจว่ากองไหนใครบริหาร และได้กี่”ดาว” ดังนั้น เวลาเลือกกองทุนที่จะลงทุนจะต้องดูเรื่องของ “ราคา” หรือค่าธรรมเนียมในการบริหารกองทุนด้วย
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าค่าบริหารต่างกัน 1-2% แต่สุดท้ายผลงานในระยะยาวก็เท่ากัน กองทุนที่ค่าบริหารต่ำกว่าก็จะให้ผลตอบแทนคิดเป็นเม็ดเงินสูงกว่ามากในช่วงเวลาเป็น 10 ปีขึ้นไป
4. การเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง
ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีดัชนีหลายๆ แบบให้เลือก เช่น ดัชนี “ตลาดหุ้น” เช่น S&P 500 หรือ SET50 หรือดัชนีหุ้นไฮเทคที่มักอยู่ในตลาด Nasdaq นอกจากนั้นแล้วก็น่าจะมีที่เป็นแบบ Sector เช่นในกลุ่มของหุ้นเกี่ยวกับสุขภาพและดิจิทัล เป็นต้นการลงทุนในหุ้นที่อิงดัชนีนั้นมีข้อดีที่ว่า ไม่ต้องมีผู้บริหารที่จะมาเลือกหุ้น ดังนั้นค่าธรรมเนียมก็จะต่ำและผลงานก็จะอิงกับหุ้นหลักๆ ในดัชนีนั้น และทั้งหมดนั้นก็มักจะรวมถึง ETF ที่อิงกับดัชนีด้วย
คนอาจจะมีความรู้สึกว่าการลงทุนในกองทุนรวมหรือ ETF ที่อิงดัชนีนั้นจะทำผลงานที่ดีได้อย่างไร?
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผลตอบแทนที่ได้ก็เป็นแค่ “ผลตอบแทนเฉลี่ย” ของหุ้นในดัชนี โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ “ดีเลิศ” ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ข้อถกเถียงของผมก็คือ การทำได้เท่าค่าเฉลี่ยในตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพสูงมากนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีพอแล้ว
ผมยังจำได้ถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “Average is the New Awesome” หรือ “การทำได้เท่าค่าเฉลี่ยก็คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมใหม่ในภาวะปัจจุบัน” อย่าลืมว่าในวงการนักลงทุนนั้นเต็มไปด้วย “เซียน” หรืออย่างน้อยก็คนเรียนจบมหาวิทยาลัยดังๆ ของโลก ถ้าเราทำได้ดีในระดับกลางๆ เราก็สุดยอดแล้ว
อย่างไรก็ตาม การทำผลตอบแทนได้ดีนั้น ไม่ใช่แค่ทำให้ได้เท่าค่าเฉลี่ย แต่เราต้องทำได้เท่าค่าเฉลี่ยในตลาดหุ้นหรือในเช็กเตอร์ที่ดีหรือให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาวด้วย
ดังนั้น สิ่งที่ผมคิดว่านักลงทุนต้องทำที่เลี่ยงไม่ได้ก็คือ หาตลาดและ/หรือภาคอุตสาหกรรมที่ดี ซึ่งแน่นอนรวมถึงกลุ่มดิจิทัลไฮเทคและอื่นๆ ที่ดีหรือมีโอกาส “เปลี่ยนโลก” ได้ในราคาที่ “ไม่แพง” เสร็จแล้วก็เลือกลงทุนในกองทุนรวมหรือ ETF ที่อิงกับดัชนีนั้น
ในอดีตผมเองไม่เคยคิดที่จะลงทุนในกองทุนรวมเลยยกเว้นกองทุนที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ แต่ในช่วงปีที่แล้วที่ผมเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม เนื่องจากเห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่น่าจะกำลัง “Takeoff” หรือโตก้าวกระโดด และพบว่ามี ETF ที่เน้นในกลุ่มหุ้นที่ผมอยากลงทุนซึ่งก็คือหุ้นกลุ่มที่ผมคิดว่าจะเป็น “ซูเปอร์สต็อก” ผมจึงเลือกที่จะลงทุนใน ETF นั้นแทนที่จะเลือกลงทุนเอง
นอกเหนือจากนั้นก็คือ ในฐานะที่เป็นชาวต่างชาติ ผมไม่ต้องจ่ายราคาหุ้นที่เป็น Premium ในหุ้นหลายๆ ตัวที่ผมอยากซื้อด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง
- 4 เคล็ดลับในการเลือกกองทุนให้เป็นภายใน 20 นาที
- 3 วิธีสร้าง Passive income ฉบับงบ 0 บาท
- วางแผนการเงิน สร้างเป้าหมายรับปี 2564
- แนะ..มือใหม่เล่นหุ้น “ซ้อมบนกระดาษ” ก่อน
และนี้คือเคล็ดลับการเลือกกองทุนรวมแบบเน้นคุณค่า ที่สามารถนำข้อคิดนี้ไปปรับใช้กับสินทรัพย์อื่นๆ ได้เช่นกัน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร, โลกในมุมมองของ Value Investor “วิธีเลือกกองทุนรวม,”กรุงเทพธุรกิจ (2 มีนาคม 2564): 14.