จีนเตือนโควิด 20 สายพันธุ์ใหม่ เตรียมรับมือพร้อมกันทั่วโลก

0
350
kinyupen

จีนออกมาเตือนทั่วโลกให้เตรียมพร้อมรับมือกับไวรัสโคโรนา 20 สายพันธุ์ใหม่จากค้างคาวที่อาจแพร่ระบาดมาสู่คน

ปรับปรุง 26/9/2566 เวลา 10:20

เมื่อวันที่ 25 ก.ย.66 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี Center for Medical Genomics เผยแพร่บทความบน Facebook Fanpage โดยระบุว่า จีนออกมาเตือนทั่วโลกให้เตรียมพร้อมรับมือกับไวรัสโคโรนา 20 สายพันธุ์ใหม่จากค้างคาวที่อาจแพร่ระบาดมาสู่คน กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต ขอนำทุกท่านมาติดตามเรื่องนี้ไปพร้อมกันค่ะ

ดร. ฉี เจิ่งลี่ ผู้อํานวยการศูนย์โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ สถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ออกมาเตือนว่าพบไวรัสโคโรนาจากค้างคาวกว่า 20 สายพันธุ์ใหม่ “มีความเสี่ยงสูง” ที่อาจก้าวข้ามมาระบาดในคน โดยตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารทางการแพทย์  Emerging Microbes & Infections เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 (https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37334745/) โดยสื่อจีนให้ความสนใจรายงานข่าวในเดือนกันยายน 2566

อย่างไรดีนักวิจัยจากหลายสถาบันได้ออกมาเตือนถึงการล่าไวรัสที่โลกไม่รู้จัก (Exotic virus hunting) อาจเป็นการได้ไม่คุ้มเสียหรือไม่? กล่าวคือกลับทำให้มนุษย์และไวรัสในสัตว์ป่าเข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้นจนสุ่มเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่ล่าไวรัสอาจติดเชื้อไวรัสเสียเองจนเกิดเป็นโรคระบาดติดต่อร้ายแรงไปทั่วโลกหรือไม่

• ดร. ฉี เจิ่งลี่  ได้รับสมญาว่า “หญิงค้างคาว (bat woman)” และ “นักล่าไวรัส (virus hunter)” เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนผู้ที่มีชื่อเสียง ทําการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาที่กระโดดข้ามจากสัตว์โดยเฉพาะค้างคาวมาติดต่อในคน

• ดร. ฉี เจิ่งลี่  เป็นผู้อํานวยการศูนย์ติดเชื้ออุบัติใหม่ สถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่นและโด่งดังจากงานวิจัยเกี่ยวกับ SARS-CoV-1

• ในปี 2560  ดร. ฉี เจิ่งลี่   และทีมวิจัยค้นพบว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ SARS น่าจะมีต้นกําเนิดมาจากค้างคาวเกือกม้า (Horseshoe Bat) ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน

• ดร. ฉี เจิ่งลี่   ถูกตรวจสอบอย่างใกล้ชิดในช่วงการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากห้องปฏิบัติการของเธอที่สถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่นทําการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา แต่เธอปฏิเสธว่าไวรัสโคโรนา-2019 มิได้หลุดมาจากห้องปฏิบัติการของเธอ ปัจจุบันรัฐบาลจีนยังคงสนับสนุนงานวิจัยของ ดร. ฉี เจิ่งลี่  ในการสืบค้นไวรัสในสัตว์ที่อาจแพร่ข้ามมาสู่มนุษย์

• ในผลการวิจัยล่าสุด ดร. ฉี เจิ่งลี่  และทีมวิจัยได้เตือนว่ามีโอกาส “สูงมาก” ที่จะเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาอีกในอนาคต

ไวรัสโคโรนา (CoV)  มีสี่สกุล ได้แก่ alpha (α), beta (β), gamma (γ) และ delta (δ)   CoV ทั้งหมดที่ทำให้เกิดการระบาดของมนุษย์นั้นมาจาก alpha- หรือ beta-CoV จากการจำแนกประเภทของ ICTV ล่าสุด พบว่ามี CoV สายพันธุ์ 40 ชนิดในสกุล alpha- และ beta-CoV โดย 27/40 ของสายพันธุ์ CoV (67.5%) สามารถพบได้หรือพบเฉพาะในค้างคาว

หลักฐานของการระบาดของไวรัสโคโรนาในอนาคต

• ทีมวิจัยได้ระบุว่าพบไวรัสโคโรนาจํานวนกว่า 20 สายพันธุ์ที่มี “ความเสี่ยงสูง” ที่จะแพร่ติดเชื้อในคนได้ โดยให้เหตุผลว่าไวรัสโคโรนาเคยก่อให้เกิดการระบาดจากสัตว์สู่คนมาก่อน (เช่น SARS และ COVID-19) ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่มันจะก่อให้เกิดการระบาดอีกในอนาคต

• ผู้เชี่ยวชาญบางคนเปรียบเทียบงานวิจัยของ ดร. ฉี เจิ่งลี่  เสมือนการทำ “พจนานุกรมของไวรัสโคโรนา” ที่จะช่วยในการพยากรณ์และป้องกันการระบาดในอนาคต

ผลกระทบงานวิจัยของ ดร. ฉี เจิ่งลี่ 

• เน้นถึงภัยคุกคามต่อเนื่องจากไวรัสโคโรนาที่มาจากค้างคาว

• ย้ำให้เห็นว่าภาครัฐควรลงทุนด้านการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อสืบค้นหาไวรัสที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อประโยชน์แห่งการพัฒนาวัคซีน/ยาสำหรับรักษาล่วงหน้าก่อนเกิดการระบาดในอนาคต

• เตือนผู้ดูแลระบบสาธารณสุขทั่วโลกให้เตรียมรับมือการแพร่ระบาดของโรคจากไวรัสโคโรนาใหม่ๆ ในอนาคต

• การถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนาทั้งจีโนมที่แยกเชื้อได้จากสัตว์โดย ดร. ฉี เจิ่งลี่  และ ทีมวิจัยสถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่น จะมีคุณค่าอย่างยิ่งในการพยากรณ์และป้องกันโรคระบาดในอนาคต

เหตุใดงานวิจัยของดร. ฉี เจิ่งลี่ จึงมีความสำคัญ

• เน้นย้ำถึงภัยคุกคามอย่างต่อเนื่องของไวรัสโคโรนาจากสัตว์สู่คน โดยเฉพาะจากค้างคาว

• เป็นพื้นฐานในการพยากรณ์และเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดในอนาคต

• ระบุไวรัสโคโรนาสายพันธุ์จากค้างคาวที่คล้ายกับ SARS-CoV-1, MERS-CoV, และ SARS-CoV-2

• ทำให้สามารถพัฒนาวัคซีนและยารักษาก่อนที่จะเกิดการระบาด

• ติดตามเก็บตัวอย่างจากประชากรค้างคาวทำให้สามารถตรวจพบไวรัสใหม่ๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

• ถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัสทั้งจีโนมเพื่อติดตามบริเวณที่กลายพันธุ์ซึ่งจำเป็นสำหรับการติดเชื้อในมนุษย์

สรุปได้ว่างานบุกเบิกของ ดร. ฉี เจิ่งลี่  เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาจากค้างคาวได้วางรากฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อคาดการณ์ ป้องกัน และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น การค้นพบของเธอเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังและการเตรียมพร้อมในระบบสาธารณสุขทั่วโลก “พจนานุกรมไวรัสโคโรนา” ของ ดร. ฉี เจิ่งลี่ น่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีคุณค่าอย่างยิ่งในการรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดจากไวรัสโคโรนาจากสัตว์สู่คนในศตวรรษที่ 21

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> 

วิธีที่ ดร. ฉี เจิ่งลี่  และทีมวิจัยใช้ตรวจจับและระบุสายพันธุ์ไวรัสโคโรนาที่มีความเสี่ยงสูง 20 สายพันธุ์จากค้างคาวคือ:

• เก็บตัวอย่างส่งตรวจจากประชากรค้างคาวทั่วประเทศจีนทั้งจากอุจจาระและการสวอปในช่องปากของค้างคาว

• ทำการทดสอบด้วยเทคนิค PCR เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาในตัวอย่าง

• ตัวอย่างที่ PCR ให้ผลบวกต่อไวรัสโคโรนา จะถูกนำมาถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม

• นำข้อมูลรหัสพันธุกรรมโดยเฉพาะในส่วนยีนที่ควบคุมการสร้างส่วนหนามมาวิเคราะห์เปรียบความเหมือนความต่างกับส่วนหนามของโควิด-19 ที่ระบาดในคนอยู่ในขณะนี้

• ประเมินความสามารถของไวรัสในการเข้าจับกับตัวรับ “ACE2” บนผิวเซลล์ของมนุษย์ โปรตีนส่วนหนามหรือสไปค์ (spike protein) ของไวรัส SARS-CoV-2 สามารถจับกับโปรตีน ACE2 บนผิวของเซลล์ปอด ส่งผลให้ไวรัสสามารถเข้าสู่เซลล์และเริ่มการติดเชื้อ

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> 

ปัจจัยสำคัญที่ใช้ประเมินความเสี่ยงของไวรัสโคโรนาที่แยกได้จากค้างคาว

• ตรวจสอบความคล้ายคลึงของรหัสพันธุกรรมกับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรค (SARS-CoV-1, MERS-CoV, SARS-CoV-2)

• การมีอยู่ของการกลายพันธุ์ตำแหน่งสำคัญบริเวณส่วนหนามที่จำเป็นสำหรับการจับตัวรับ ACE2 บนผิวเซลล์มนุษย์

• หลักฐานของการวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วและการปรับรูปร่างของตัวรับเข้าจับ ACE-2

• การแพร่พันธุ์ของค้างคาวสายพันธุ์ที่ทราบกันว่าเป็นแหล่งรังโลกของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม

• การไหลเวียนของประชากรค้างคาวที่มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์

ตัวอย่างชนิดพันธุ์ไวรัสโคโรนาที่มีความเสี่ยงสูงที่จะข้ามมาสู่คน

• Bat-SL-CoV-RaTG13 – 96% เหมือนกับ SARS-CoV-2

• Bat-SL-CoV-RmYN02 – จับกับตัวรับ ACE2 เช่นเดียวกับ SARS-CoV-2

• Bat-SL-CoV-SC2013 – คล้ายกับ MERS-CoV มาก

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> 

ผลที่อาจติดตามมาหากเราไม่เตรียมพร้อมสำหรับการระบาดของไวรัสโคโรนาครั้งใหม่ในอนาคต:

ผลที่ตามมาด้านสุขภาพ

• อัตราการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยจะเพิ่มขึ้นหากการตอบสนองจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการระบาดล่าช้า

• ระบบการรักษาพยาบาลของประเทศจะล้มเหลวไม่มีเตียงและอุปกรณ์พอเพียงในการรักษา

• ความยากลำบากในการควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสทำให้เกิดการติดเชื้อมากขึ้น

• เกิดการระบาดใหญ่เป็นเวลานานและมีการติดเชื้อซ้ำอีก

• การเกิดขึ้นของสายพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่องที่สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจนไม่สามารถควบคุมได้

ผลที่ตามมาทางเศรษฐกิจ

• ธุรกิจต่างๆ ถูกบังคับให้ปิดกิจการจากข้อจำกัดด้านสาธารณสุข

• การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการขาดแคลนสินค้าที่จำเป็น

• ความผันผวนของตลาดหุ้น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจหรือภาวะถดถอย

• ค่ารักษาพยาบาลที่สูงสำหรับการรักษาและการรักษาในโรงพยาบาล

ผลที่ตามมาทางสังคม

• การหยุดเรียน หยุดเดินทาง หยุดกิจกรรมทางสังคม และหยุดบริการทางศาสนา

• ผลกระทบต่อสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล อาการซึมเศร้า การใช้สารเสพติด

• ความไม่มั่นคงทางการเมืองและการพังทลายของความไว้วางใจของประชาชนต่อสถาบันหรือรัฐบาล

• ความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล การตรวจทดสอบคัดกรอง และการรับวัคซีน

• การเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดและทฤษฎีสมคบคิด

ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม

• สต๊อกวัคซีน ยารักษาโรค อุปกรณ์ PPE

• ปรับปรุงระบบการเฝ้าระวังทั่วประเทศเพื่อการตรวจจับการระบาดของไวรัสแต่เนิ่นๆ

• พัฒนาแผนเพื่อเพิ่มการคัดกรองและการติดตามผู้สัมผัสอย่างรวดเร็ว

• เตรียมแผนการสื่อสารกับประชาชนและแผนบรรเทาทุกข์ทางเศรษฐกิจ

• เพิ่มขีดความสามารถของโรงพยาบาลทั้งจากภาครัฐและเอกชนด้านการดูแลสุขภาพเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย

• ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการประสานงานการรับมือโรคระบาด

สรุปว่าหากไม่เตรียมพร้อม หรือขาดการวางแผนเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างเป็นระบบและครบวงจรอาจทำให้การแพร่ระบาดยืดเยื้อ คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก และทำให้สังคมและเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อยู่แล้วสั่นคลอนยิ่งขึ้นไปอีก รัฐต้องลงทุนกับการเตรียมพร้อมรับมือการระบาดระลอกใหม่ของโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในทุกมิติโดยการถอดบทเรียนของการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> 

การล่าไวรัสที่โลกไม่รู้จัก (Exotic virus hunting)

สิ่งที่มีคุณอนันต์ก็อาจมีโทษมหันต์ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกหลายท่านเริ่มตระหนักถึงภัยของการติดตามค้นหาไวรัสที่เราไม่รู้จักซึ่งมีการแพร่ระบาดอยู่เฉพาะในสัตว์ป่า การล่าไวรัสที่เราไม่รู้จัก (exotic virus hunting) อาจเป็นการได้ไม่คุ้มเสียหรือไม่? กล่าวคือกลับทำให้มนุษย์และไวรัสในสัตว์ป่าเข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้นจนสุ่มเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่ล่าไวรัสอาจติดเชื้อไวรัสเสียเองจนเกิดเป็นโรคระบาดติดต่อร้ายแรงไปทั่วโลกหรือเปล่า?

ที่มา : Center for Medical Genomics –  https://www.facebook.com/CMGrama   

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก

https://www.facebook.com/CMGrama/posts/pfbid0sPubM3L6Zv2eNdUjDK5CpU5DC5mSuiuVWxQRwzV6Fkzpunb6BdG1JanzBC4ZFsGUl

kinyupen

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here