แบงก์ชาติเมียนมาออกคำสั่งให้ธนาคาร แจ้งลูกค้าธุรกิจและรายย่อย ระงับการจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้ต่างประเทศ เพื่อรักษาปริมาณทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงต่อเนื่อง พิษเงินจ๊าตอ่อนยวบ แถมโดนคว่ำบาตรทำขาดแคลนเงินดอลล์
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 บลูมเบิร์ก รายงานว่า ธนาคารกลางเมียนมาออกคำสั่งให้บริษัทและผู้กู้ยืมเงินรายย่อยให้ระงับการชำระคืนหนี้เงินกู้ต่างประเทศไว้ก่อน โดยในจดหมายที่ธนาคารกลางส่งถึงธนาคารที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการให้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ระบุให้แบงก์และลูกค้าระงับการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นที่กู้จากต่างประเทศ
นายวิน ทอ รองผู้ว่าการธนาคารกลางเมียนมา ระบุว่า ในจดหมายที่ส่งถึงธนาคารที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการซื้อขายเงินต่างประเทศ ให้ระงับการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของเงินกู้สกุลเงินต่างประเทศ ที่ได้รับทั้งในรูปเงินสดและที่คล้ายเป็นเงินสด อีกทั้งคำสั่งดังกล่าวยังระบุให้ธนาคารที่ได้รับใบอนุญาตต้องแจ้งแก่ลูกค้าที่มีหนี้ต่างประเทศให้ปรับตารางการชำระหนี้กับเจ้าหนี้ในต่างประเทศด้วย
ทั้งนี้ บลูมเบิร์กระบุว่า มีข้อมูลชี้ว่า บริษัทต่างประเทศในเมียนมามีเงินกู้ยืมในสกุลต่างประเทศอย่างน้อย 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 42,000 ล้านบาท)
โดยในจำนวนดังกล่าว เป็นหนี้เงินกู้ของธุรกิจต่างๆ เช่น บริษัท ออเรดู เมียนมา จำกัด (Ooredoo Myanmar) ซึ่งเป็นธุรกิจด้านโทรคมนาคม , บริษัท ซิตี้ สแควร์ คอมเมิร์ชเชียล จำกัด (City Square Commercial) ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์, บริษัท อพอลโล ทาวเวอร์ เมียนมา จำกัด (Apollo Towers Myanmar) และ บริษัท อิราวดี กรีน ทาวเวอร์ จำกัด (Irrawaddy Green Towers) ซึ่ง 2 บริษัท หลังนี้ทำกิจการโครงข่ายเสาโทรคมนาคม
อย่างไรก็ตาม หลังการยึดอำนาจของรัฐบาลทหาร เมียนมาเข้มงวดกฎการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างมาก เนื่องจากค่าเงินจ๊าตเทียบดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงไปถึง 1 ใน 3 ตั้งแต่ปีที่แล้ว หลังการรัฐประหาร
เนื่องจากเงินตราต่างประเทศที่เป็นทุนสำรองของเมียนมา ซึ่งเก็บไว้ที่สหรัฐฯ ถูกระงับการเบิกถอน รวมถึงความช่วยเหลือต่าง ๆ จากต่างประเทศก็ถูกระงับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการคว่ำบาตร ทั้งที่ เป็น 2 แหล่งหลักที่ซัพพลายเงินตราต่างประเทศให้เมียนมามาก่อน
บลูมเบิร์ก รายงานด้วยว่า ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลมีคำสั่งให้ผู้มีรายได้เป็นสกุลเงินต่างประเทศแปลงสกุลเงินของตนเป็นเงินจ๊าต (สกุลเงินท้องถิ่น) ที่อัตราอ้างอิงของธนาคารกลางที่ 1,850 จ๊าต/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาล เพื่อป้องกันความผันผวนของสกุลเงินท้องถิ่น
พร้อมกันนั้น รัฐบาลยังสั่งห้ามนำเข้ารถยนต์ สินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันประกอบอาหาร เพื่อรักษาปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางเมียนมายังอนุญาตให้ต่างชาติจัดตั้งสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอน แบงก์) ในรูปแบบของการร่วมทุน (joint venture) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มทุนในสกุลเงินตราต่างประเทศ
ทั้งนี้ พล.ต.ซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหาร กล่าวว่า เมียนมาต้องใช้เงินประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 25,200 ล้านบาท) สำหรับการชำระคืนเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศทุกปี
ส่วนรอยเตอร์ รายงานว่า ธนาคารกลางเมียนมาออกคำสั่งให้ธุรกิจและผู้กู้ยืมเงินต่างประเทศระงับการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยสกุลเงินตราต่างประเทศเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา
โดยมีข้อความระบุในโซเชียลมีเดียในเมียนมาเผยแพร่ออกมาว่า “ตามกฎหมายการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและกฎการจัดการเงินตราต่างประเทศ ให้การชำระหนี้ต่างประเทศที่เป็นทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยควรถูกระงับไว้ก่อน พร้อมกันนี้ให้ธนาคารที่ได้รับอนุญาตควรดำเนินการแจ้งแก่ลูกค้า ในเรื่องเกี่ยวกับกำหนดการชำระหนี้”