ในช่วงเดือนที่ผ่านมาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว เนื่องจากในหลายประเทศมีนโนบายสนับสนุนการเปิดประเทศ เช่นเดียวกันกับการนำเข้าและส่งออกเมื่อมีนโยบายเปิดประเทศตัวเลขการนำเข้าและส่งออกก็ฟื้นตัวเช่นเดียวกัน เงินทุนต่างประเทศไหลเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามอีกด้านปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกก็คือเรื่องของ ความกังวลจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น ทำให้ธนาคารหลายแห่งทั่วโลกจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และอีกปัจจัยก็คือเรื่อง การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจากมาตรการ Lockdown อย่างเข้มงวดเพื่อสกัดการแพร่ระบาดเชื้อ COVID-19 โดยเฉพาะในมณฑลเซี่ยงไฮ้ เป็นสองปัจจัยซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ได้จึงเกิดการปรับฐานของหลายสินทรัพย์ทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา และอีกหนึ่งปัจจัยก็คือเรื่องของราคาน้ำมันทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น
ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 SET Index ปิดที่ 1,663.41 จุด ปรับลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ยังปรับเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
- ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 SET Index ปิดที่ 1,663.41 จุด ปรับลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ยังปรับเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค
- SET Index ใน 5 เดือนแรกปี 2565 ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
- ในเดือนพฤษภาคม 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 80,095 ล้านบาท ลดลง 26.8% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ใน 5 เดือนแรกปี 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 90,695 ล้านบาท โดย ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมามีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 47.49% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ทั้งนี้ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยในเดือนพฤษภาคม 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 20,937 ล้านบาท ทำให้ใน 5 เดือนแรกปี 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 139,058 ล้านบาท
- ในเดือนพฤษภาคม 2565 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 2 บริษัท ได้แก่ บมจ. โรแยล พลัส (PLUS) บมจ. ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (FTI) และใน mai 2 บริษัท ได้แก่ บมจ. บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล (KCC) บมจ. ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ (BIS)
- Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 17.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.1 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 18.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.9 เท่า
- อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 2.69% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.64%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ในเดือนพฤษภาคม 2565 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 472,021 สัญญา เพิ่มขึ้น 24.3% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 ปี เดือนแรกของปี 2565 TFEX ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 556,830 สัญญา เพิ่มขึ้น 2.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน