แม้การใช้เวลาในแต่ละวันคนเราจะอยู่ในที่ทำงาน โรงเรียน หรือข้างนอก แต่ “บ้าน” คือเซฟโซนของเรา และเป็นสถานที่ที่คนเรามักใช้เวลาส่วนตัวอยู่ในนั้น เรียกได้ว่าหากบ้านมีความสุข = ชีวิตมีความสุข
ดังนั้นเรื่องของสุขภาวะในการอยู่อาศัยจึงกลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ สภาวะโลกร้อน ฝุ่น PM มาจนถึงการแพร่ของสถานการณ์โควิด 19 ทำให้คนในยุคปัจจุบันหันมาอยู่บ้านและใส่ใส่ใจสภาพแวดล้อมในบ้านมากขึ้น วันนี้กินอยู่เป็น 360 องศาในการใช้ชีวิต จะมาแนะนำวิธีการปรับบ้านให้มีสุขภาวะที่ดีขึ้นโดยใช้เรื่องของ WELL Building Standard
ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้จักกับคำว่า WELL Building Standard โดยจะถูกแบ่งออกเป็น 10 ด้าน ซึ่งได้แก่
• อากาศ คือต้องมีการพัฒนาพื้นที่ให้มีคุณภาพอากาศที่ดีทั้งภายนอกและภายใน ติดตั้งระบบเซนเซอร์เพื่อตรวจวัดคุณภาพอากาศ
• น้ำ โดยผู้อยู่อาศัยต้องคำนึงถึงน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคและบริโภค และตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
• โภชนาการ ผู้อยู่อาศัยใส่ใจกับอาหาร โดยเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งจะลดความเสี่ยงต่อโรคในระยะยาว
• แสงสว่าง ดูแลคุณภาพแสงธรรมชาติและแสงประดิษฐ์ภายในและนอกบ้านให้เหมาะสม
• การเคลื่อนไหว ปรับเปลี่ยนอิริยาบถระหว่างวัน เพื่อลดปัญหาด้านสุขภาพ
• สภาวะสบาย คำนึงถึงการจัดบ้านให้อยู่แล้วสบายทั้งกายและใจ ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้อยู่อาศัย
• เสียง ออกแบบโดยคำนึงถึงความเหมาะสมในการใช้งาน เพื่อป้องกันมลภาวะทางเสียง
• วัสดุอาคาร คัดเลือกวัสดุประกอบอาคารที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี ไม่ปล่อยแก๊สอันตราย
• จิตใจ ออกแบบลักษณะกายภาพที่เอื้อต่อการพักผ่อนและฟื้นฟูจิตใจด้วยการนำธรรมชาติเข้ามาช่วย
• ชุมชน สร้างการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานที่เท่าเทียมลดความเหลื่อมล้ำระหว่างอาคารกับชุมชนโดยรอบ
HOW TO > ปรับบ้านให้มีสุขภาวะดีขึ้น
เปิดรับอากาศ ลดภัยแฝง
ในยุคนิวนอร์มัลทำให้คนเราปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตในละวันอยู่บ้านมากขึ้น แต่คุณรู้หรือไม่ว่าเฟอร์นิเจอร์หรือวัสดุประกอบบ้านอาจกำลังทำลายสุขภาพของคุณอยู่เงียบๆ ยกตัวอย่างเช่น หินธรรมชาติมีสารกัมมันตรังสี เช่น หินที่เราใช้ปูพื้น กรุผนัง เคาน์เตอร์ครัว หรือส่วนประกอบบ้านที่ใช้หินอ่อน หินแกรนิต อาจมีสารกัมมันตรังสีปนอยู่ นอกจากนี้แล้วอาจมีสารระเหยจากสีและเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านมักมีสารระเหย เมื่อสูดดมเข้าไปจะเกิดการสะสมภายในร่างกายและส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท รวมถึงฮอร์โมน
ฝุ่นและความชื้นที่สะสมในบ้าน จากพรม เฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศ วอลล์เปเปอร์ อาจเป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้ระคายเคืองตา ระบบทางเดินหายใจ หากภายในบ้านไม่มีการระบายและหมุนเวียนอากาศที่ดีพอ จะเกิดการสะสมฝุ่น สารเคมี และความชื้นภายในบ้านเพิ่มชื้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดอาการแสบตา คัดจมูก ควรหมั่นทำความสะอาดบ้านเพื่อลดการสะสมของฝุ่นละอองเปิดบ้าน รวมถึงเปิดรับอากาศจากนอกบ้าน เพื่อระบายอากาศอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดความเข้มข้นของสารเคมีให้เจือจางลง
ปรับบ้านให้สว่าง ลดอาการซึมเศร้า
แสงสว่างมีประโยชน์ทั้งในเชิงกิจกรรมรวมถึงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเราด้วย หากได้รับแสงธรรมชาติอย่างเพียงพอจะช่วยลดอาการซึมเศร้า สร้างอารมณ์เชิงบวก แต่ทางกลับกันหากได้รับแสงธรรมชาติน้อยจะส่งผลต่ออารมณ์และสมดุลของสารเคมีในสมอง ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าและความสามารถในการรับรู้ลดลง หากระหว่างวันไม่ได้รับแสงธรรมชาติ (แสง Daylight : ค่าอุณหภูมิสีของแสง 5,000-6,500K) จะส่งผลให้ระบบนาฬิกาชีวภาพช้าลง 1.1 ชั่วโมงในทุก 24 ชั่วโมง จึงควรนำแสงธรรมชาติให้เข้าถึงภายในบ้านโดยคำนึงถึงทิศทางและสัดส่วนของหน้าต่างในผนังแต่ละด้านที่เหมาะสมไปจนถึงการใช้แสงประดิษฐ์อย่างเหมาะสม
สร้างสภาวะผ่อนคลาย ลดความรู้สึกไม่สบายตัว
สภาวะผ่อนคลาย หรือ สภาวะคอมฟอร์ดโซน (Comfort Zone) หมายถึง ช่วงอุณหภูมิและความชื้นของอากาศที่ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกสบาย ซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิที่ไม่ทำให้ผิวหนังแห้งหรือรู้สึกเหนียวตัวจนเกินไป โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมจะอยู่ช่วง 22 -27 องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้นคุณควรมีบริเวณพื้นดินใต้ร่มไม้ หรือสนามหญ้าเพราะทำให้รู้สึกเย็นกว่าอุณหภูมิจริงถึง 4 องศาเซลเซียสในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว นอกจากนี้แล้วการเลือกซื้อเสื้อผ้าที่สวมใส่ ที่มีที่ระบายอากาศได้ดีจะทำให้รู้สึกเย็นลงได้ ลดอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
การมีบ้านที่มีสุขภาวะที่ดี จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการใช้ชีวิต หรือกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่ดี รวมถึงไม่เป็นก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมา