รู้ไว้ไม่เสียหาย รวม 6 ความรู้รอบตัว ที่คุณอาจยังไม่รู้ ไว้อ่านเพลินๆ เสริมความรู้รอบตัว บางข้อกินอยู่เป็นก็เพิ่งรู้เอาวันนี้เช่นกัน วันนี้กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต นำเกร็ดความรู้รอบตัวมาฝากเพื่อนๆ ค่ะ
นอนเอียง ไม่ได้ทำให้สายตาเอียง
หลายคนมีความเชื่อ หรือเคยได้ยินประโยคที่ว่า “อย่านอนดูทีวี อย่านอนอ่านหนังสือเดี๋ยวจะสายตาเอียง” ยิ่งพอลองทดสอบขีดเส้นตรงลงบนกระดาษขณะที่นอน แล้วปรากฏว่าเส้นเบี้ยวหรือเขียนไม่ตรง ก็อาจฟันธงไปแล้วว่าตัวเองต้องสายตาเอียงแน่ รู้หรือไม่ว่าทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิด เพราะนั่นเป็นผลพวงของทักษะการใช้มือสัมพันธ์กับดวงตา โดยเมื่อตารับข้อมูลจะส่งไปให้สมองประมวลผลและบังคับกล้ามเนื้อแขนให้ทำตาม ซึ่งต่อให้คนที่สายตาปกติก็มีโอกาสขีดเส้นเบี้ยวได้ และปัญหานี้สามารถแก้ไขได้เมื่อได้รับการฝึกฝน
ส่วนจริงๆ แล้วอาการสายตาเอียงเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างของกระจกตาหรือเลนส์แก้วตา ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้สายตา ขณะเดียวกันที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมเวลานอนตะแคงใช้สายตาแล้วเรามักตามัวหรือเกิดภาพซ้อน ความจริงแล้วเกิดจากความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อตาที่เนื่องจากไม่ได้อยู่ในแนวตรงแค่นั้นเอง
ทำไม “ส้อม” ถึงต้องมี 4 ซี่
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมส้อมของเราโดยทั่วไปแล้วนั้นจึงมี 4 ซี ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า ส้อมเป็นอุปกรณ์รับประทานอาหารที่สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 แต่นำมาใช้งานจริงในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อเป็นแบบแผนมารยาทการรับประทานอย่างตะวันตก
ช่วงแรกส้อมยังไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไร กระทั่งภายหลังชาวอิตาเลียนได้ใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับทานพาสตา รวมทั้งใช้ส้อมในการจิ้มและตรึงเนื้อเพื่อหั่นเป็นชิ้นเล็ก โดยการออกแบบส้อมมีตั้งแต่ 2 – 4 ซี่ ตามรูปแบบการใช้งาน ส้อม 2 ซี่เหมาะกับเนื้อสัตว์เพื่อแทงหรือตรึงอาหารก่อนใช้มีดหั่น ส่วนส้อม 3 – 4 ซี่ เหมาะสำหรับใช้กึ่งช้อน เพื่อนำอาหารจากจานมาสู่ปากทั้งการจิ้ม ปาด เกลี่ย และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมในประเทศไทยส้อมถึงมี 4 ซี่ ก็เพื่อให้เหมาะกับอาหารไทยและการใช้งานที่หลากหลาย เราจึงเห็นส้อม 4 ซี่ตามร้านอาหารทั่วไปมากกว่าส้อมรูปแบบอื่นๆ
ทำไมชุดผ่าตัดแพทย์ ต้องเป็นสีเขียวหรือสีฟ้า
หลายคนคงคุ้นชินว่าแพทย์จะสวมชุดกาวน์สีขาว แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมเมื่อเข้าห้องผ่าตัดจะต้องเปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวหรือสีฟ้า
จริงๆ แล้วในอดีตแพทย์หรือพยาบาลในห้องผ่าตัดเคยสวมชุดสีขาวเข้าผ่าตัด แต่ถูกประกาศยกเลิกไปในปี 1914 หลังเกิดเหตุที่ศัลยแพทย์พบปัญหาจากปรากฏการณ์ After Image หรือภาพติดตาหลังจากใช้สายตานานๆ ตอนผ่าตัด เพราะขณะผ่าตัดแพทย์ต้องเพ่งสีแดงจากอวัยวะหรือเลือดเป็นเวลานาน เมื่อหันไปมองพื้นสีขาวจะทำให้เกิดภาพลวงตาที่เรียกว่า After-Effect Illusion ซึ่งทำให้เห็นสีตรงข้ามบนพื้นสีขาว แพทย์จึงจะมองเห็นภาพติดตาเป็นสีเขียว ทำให้เกิดอาการมึนงง รวมถึงมีอาการตาลาย
ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังชุดผ่าตัดจึงเปลี่ยนมาใช้เป็นชุดสีฟ้าและสีเขียว เพื่อให้แพทย์ได้พักสายตาและสนับสนุนให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
“X” ในสมการคณิตศาสตร์ มีที่มาจากอะไร
รู้หรือไม่ว่า X ที่นำมาใช้แทนค่าในสมการนั้น เกิดขึ้นจากปัญหาการออกเสียง เพราะในอดีตองค์ความรู้ทางคณิตศาสตร์ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่แถบประเทศอาหรับซึ่งใช้ภาษาอารบิกเขียน
ในช่วงศตวรรษที่ 11 ตำราเหล่านี้เริ่มได้รับความสนใจและเผยแพร่เข้าสู่ทวีปยุโรปในประเทศสเปน แต่นักแปลภาษาพบว่า คำว่า “อัล-ซาลาน” ในภาษาอารบิก ซึ่งแปลว่า สิ่งที่ไม่รู้จักหรือตัวแปรในสมการ ที่ปรากฏในหนังสือหลายคำนั้นไม่สามารถแปลเป็นภาษาสเปนได้ เนื่องจากในสเปนไม่มีเสียง “ช (SH) ” ดังนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้เสียง “ค (CH) ” ในอักษรโรมันที่เรียกว่า ตัวอักษรคาย (Kai) แทน ประกอบกับความบังเอิญที่หน้าตาของตัวอักษรคายคล้ายกับตัว X มาก ทำให้ต่อมาถูกนำมาแปลเป็นภาษาละตินที่เป็นภาษากลางของยุโรป ผู้คนจึงเปลี่ยนมาใช้ตัว X แทน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา
จริงหรือ? พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อาบน้ำแค่ 3 ครั้งในชีวิต
หลายคนรู้จักพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส ผู้ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในยุโรปโดยระยะเวลาการครองราชย์ยาวนานถึง 72 ปี อย่างไรก็ตามหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าพระองค์ “กลัวการอาบน้ำ” เพราะช่วงศตวรรษที่ 17 มีแนวคิดที่เชื่อว่าน้ำเป็นตัวแพร่เชื้อโรค หากอาบน้ำบ่อยอาจส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์จึงสรงน้ำน้อยครั้ง ถึงขั้นที่บางคนกล่าวว่าพระองค์เคยสรงน้ำเพียง 3 ครั้งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้พระองค์ปฏิเสธการสรงน้ำ แต่ก็ทรงเลือกวิธีชำระพระวรกายด้วยการ “อาบแห้ง” แทน โดยให้ข้าราชบริพารนำอควาวิตหรือสุราฤทธิ์แรง ที่มีส่วนผสมของเอทานอล 90 เปอร์เซ็นต์มาเช็ดตามพระวรกายเพื่อทำความสะอาด และสวมฉลองพระองค์ที่ผ่านการชุบด้วย Aqua Angelica จากการต้มเครื่องหอมต่าง ๆ เพื่อทำให้เสื้อผ้าหอม เหมือนน้ำยาปรับผ้านุ่มในปัจจุบัน จึงทำให้พระวรกายส่งกลิ่นหอมอยู่เสมอ
ทานเนื้อสัตว์ ทำให้โลกร้อนได้อย่างไร
คนในปัจจุบันมีการหันมารณรงค์เลิกทานเนื้อสัตว์และหันมาทานโปรตีนทางเลือกจากพืชมากขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการดูแลสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามเบื้องหลังของเรื่องนี้มีที่มาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่ปัจจุบันยอดการผลิตเนื้อสัตว์เพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อ 50 ปีที่แล้วถึง 6 เท่าตัว
เมื่อมนุษย์ต้องการบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมปศุสัตว์เข้ารุกพื้นที่ป่าเพื่อสร้างพื้นที่ปลูกพืชเป็นอาหารสัตว์ อีกทั้งยังต้องนำทรัพยากรน้ำปริมาณมหาศาลมาใช้ในการอุปโภคและชำระล้างในโรงฆ่าสัตว์ ขณะเดียวกันกระบวนการเลี้ยงยังมีขั้นตอนการผลิตและขนส่งที่มีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศอันทำให้โลกร้อนอีกด้วย
แต่หากเปรียบเทียบความคุ้มค่าทางโภชนาการจะพบว่า เราใช้พื้นที่การเกษตรเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ไปกับการเลี้ยงสัตว์ทั้งระบบ โดยได้ผลลัพธ์กลับมาเป็นการผลิตเนื้อสัตว์ที่ให้พลังงานได้ไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ และได้โปรตีนไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การสนับสนุนให้อุตสาหกรรมปศุสัตว์ขยายตัวจึงเท่ากับการเพิ่มความร้อนให้โลกอย่างไร้ประสิทธิภาพ
อ่านความรู้รอบตัว ตอนที่ 1 | ตอนที่ 2 | ตอนที่ 3 | ตอนที่ 4
กินอยู่เป็นขอขอบคุณที่มาจาก
ขวัญใจ. (2565, เมษายน – มิถุนายน) . “DID YOU KNOW,” Delight Magazine. 21 (2) : 72-73