ผ่านมาสองปีแล้วที่เราเจอกับวิกฤตโควิด-19 เศรษฐกิจถดถอย เกิดการปลดแรงงาน เลิกจ้างในธุรกิจต่างๆ ทำให้มีโอกาสสูงมากที่นักศึกษาจบใหม่และออกสู่ตลาดแรงงานจะหางานทำได้ยาก
ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง สังคมและการเมืองไทยที่ไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ บวกกับกระแส “ย้ายประเทศกันเถอะ” ทำให้นักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ หรือเรียนจบแล้วสนใจการ “work and travel” มากขึ้น เดือนมีนาคมนี้น้องๆ นักศึกษาพากันมาขอวีซ่า J1 กันจนล้นสถานทูตสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว
หากน้องๆ นักศึกษาคนไหนมีความใฝ่ฝันว่าอยากไปเที่ยวอเมริกา สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คือการ work and travel เปิดโลกใหม่ ได้ทำงาน ได้เที่ยว เก็บเกี่ยวประสบการณ์ 2-4 เดือน
โครงการ Work and travel ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม หรือน่ากังวลอย่างที่หลายคนคิด แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับคนที่ไม่เตรียมพร้อม กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิตรวบรวมคำแนะนำจากเหล่ากูรูมาฝาก
รู้จักโครงการ Work and Travel in USA (ข้อมูลจาก american-learning.com)
โครงการ Work and Travel in USA จะอยู่ในช่วงของการปิดเทอมภาคฤดูร้อน แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลาคือ ช่วงสปริง Spring (เดือนมีนาคม – เดือนกรกฏาคม) และช่วง Summer (เดือนพฤษภาคม – เดือนกันยายน) ซึ่งจะมีระยะเวลา 2 เดือนครึ่ง ถึง 4 เดือน
ซึ่งผู้เข้าร่วมร่วมโครงการฯ จะได้รับวีซ่าประเภท J-1 ทำให้สามารถอยู่ท่องเที่ยวต่อในประเทศสหรัฐอเมริกาได้อีก 30 วัน นับจากวันที่สิ้นสุดบน Visa แต่ห้ามมิให้ทำงานในช่วงนั้นๆ
ทำงานแล้วเก็บเงินเที่ยวในเดือนสุดท้ายให้เต็มที่ ก็เป็นทางเลือกที่ดี ฮ่าๆ
อยากไป work and travel ต้องทํายังไงบ้าง?
1. ขั้นแรก เตรียมเงิน
เราไม่ได้ไปฟรีๆ แบบทำงานที่นั่น แล้วเอาเงินมาใช้ได้เลย แต่เราต้องเตรียมเสียเงินเป็นแสน เฉลี่ยประมาณ 120,000-150,000 บาท สาเหตุคือเราต้องเตรียมไว้จ่ายค่าเครื่องบิน จ่ายเอเจนซี่ ค่าใช้จ่ายอาทิตย์แรกที่ต้องซื้อของจุกจิกที่จำเป็น และสำหรับกิน-ใช้ก่อนที่จะได้รับเงินงวดแรก
2. ภาษา
ไม่ต้องเก่งภาษาอังกฤษมากก็ได้แต่ควรสื่อสารเข้าใจในระดับพื้นฐาน เพราะต้องผ่านการสัมภาษณ์กับเอเจนซี่ สัมภาษณ์กับนายจ้าง และสัมภาษณ์ตอนยื่นขอวีซ่า
3. เลือกเอเจนซี่ที่เชื่อถือได้
การจะไป Work & Travel ได้ต้องผ่าเอเจนซี่เท่านั้น หากมีใครอ้างว่าสามารถ Work & Travel ได้เลย ไม่ต้องผ่านเอเจนซี่ให้สงสัยไว้ได้เลยว่าอาจจะไม่ใช่ Work & Travel .. แต่เป็นการหลอกลวง
4. การเลือกรัฐ และเลือกงาน
การ Work & Travel เราสามารถเลือกรัฐที่เราอยากจะไปในอเมริกาได้ โดยพิจารณาเรื่องค่าครองชีพ และรายได้ให้สัมพันธ์กัน รวมถึงเรื่องสภาพอากาศ ความสะดวกเรื่องการเดินทาง ร้านสะดวกซื้อ
ส่วนการเลือกงาน ให้นึกถึงว่าแพ้สารเคมีที่ใช้ในการทำงานหรือไม่ ดูสวัสดิการของที่ทำงาน เช่น ที่พัก มีจักรยานให้ยืม มีบัตรโดยสารรถสาธารณะให้ ค่าจ้างที่เราจะได้อยู่ที่ 8-16 USD ต่อชั่วโมง เรียกว่าทำงานชั่วโมงเดียวก็ได้เงิน 200 บาทแล้ว
คำเตือนจากผู้มีประสบการณ์ : งานหนัก ส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องยืนนานๆ หากใครไม่เคยทำงายพาร์ทไทม์มาก่อนคงต้องเหนื่อยหน่อย เพราะเป็นงานใช้แรงงาน หรืองานบริการ เช่น พนักงานโรงแรม งานทำความสะอาด หากใครมีทักษะภาษาเยอะหน่อยก็สามารถเลือกงานที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนได้ ซึ่งจะได้รับค่าจ้างในเรทที่สูงกว่า
5.วางแผนชีวิตให้ดี
งานที่ได้รับเป็นรายชั่วโมง ดังนั้นรายได้ในแต่ละวันก็ไม่เท่ากัน นายจ้างมีสิทธิ์ไล่เรากลับบ้านได้ แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีเงินใช้ เพราะเขาจะมีการันตีว่าใน 1 สัปดาห์คุณจะได้ชั่วโมงการทำงานอย่างน้อยเท่าไหร่
แต่ทั้งนี้ไม่อยากให้คิดถึงการมาหาเงินเป็นหลัก อยากให้โฟกัสที่ประสบการณ์ที่เราจะได้รับมากกว่า เพราะจุดประสงค์ของโครงการ Work & Travel คือการได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และไม่ใช่ทุกคนที่จะได้กำไรจากการทำงาน บางคนติดลบ เพราะสิ่งล่อตาล่อใจเยอะ บางคนหมดไปกับคาสิโน เที่ยวเกินงบ บางคนเจอของถูก ของปังๆ กว่าที่ไทยก็ซื้อกลับมาเต็มไปหมด
เงินหาตอนไหนก็ได้ แต่ประสบการณ์และโอกาสดีๆ แบบนี้อาจไม่มีอีกแล้ว ในยุคโควิดที่มีข้อจำกัดมากมาย กินอยู่เป็นขอให้ทุกคนกล้าที่จะออกเดินทาง กล้าที่จะค้นหาสิ่งใหม่ๆ ในระหว่างนี้ อย่างน้อยก็ใช้เวลาว่างเรียนต่อหรือพัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่ยังขาดอยู่ก็ยังดีนะคะ
กินอยู่เป็นขอขอบคุณที่มาจาก
- https://youtu.be/qmx1zbDLWOI
- https://youtu.be/p-jjS-2QD58
- Q&A โครงการ Work and Travel USA | American Learning | ALC (american-learning.com)