“ดอกเหมยที่ชายเสื้อ” เรื่องแม่ซึ้งๆ ก่อนนอน

0
732
kinyupen

เพราะทุกวันเป็นวันของแม่..

ควันหลงวันแม่นี้ กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิตนำเรื่องเล่าชาวจีน “ดอกเหมยที่ชายเสื้อ” จากเฟซบุ๊กแฟนเพจ The Little แม้เป็นบทความที่ค่อนข้างยาว แต่เนื้อหากินใจและแฝงข้อคิดมากมาย อยากให้สละเวลาได้อ่านกันสักนิด

 

ตอนที่เขาอายุ 18 ปี ความเกเรทำให้เขาทำร้ายคนอื่นบาดเจ็บสาหัส จึงถูกพิพากษาจำคุก 6 ปี ตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้าคุกก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเลย แม่เป็นหม้ายเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ด้วยความทุกข์ยากลำบาก นึกไม่ถึงว่าเขากำลังจะจบมัธยมปลาย จะมาก่อเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ได้ เขาทำให้แม่เสียใจและเขาก็เข้าใจดีว่าแม่โกรธเขาก็สมควรแล้ว

 

ฤดูหนาวปีแรกในคุก เขาได้รับกล่องพัสดุที่ข้างในบรรจุเสื้อไหมพรมตัวหนึ่ง ที่ชายเสื้อนั้นปักรูปดอกเหมยสีแดงอยู่ 1 ดอก บนดอกเหมยนั้นมีกระดาษแผ่นเล็กๆ มีข้อความว่า “ขอให้ลูกปรับปรุงตัว ยามแม่แก่เฒ่าแม่หวังพึ่งให้เจ้าเลี้ยงดู”

ข้อความในกระดาษแผ่นเล็กนี้ ทำให้คนก้าวร้าวนิสัยแย่อย่างเขาร้องไห้น้ำตานองหน้า นี่เป็นเสื้อไหมพรมที่แม่เป็นคนถักเอง เขาจำลักษณะของลายเส้นได้ แม่เคยพูดกับเขาว่า

 

“คนเราจะต้องเอาอย่าง”ดอกเหมย”ยิ่งผจญกับความหนาวเหน็บทุกข์ยากเท่าใด ยิ่งจะทำให้ดอกเหมยผลิดอกได้งดงามมากยิ่งขึ้น”

 

4 ปีแล้วแม่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาเยี่ยมเขา แต่ทว่าทุกต้นฤดูหนาวแม่จะส่งเสื้อไหมพรมและข้อความเดิมมาให้ทุกครั้ง เขาพยายามปรับปรุงตัวเองเพื่อให้ได้รับการพิจารณาลดโทษ และเมื่อปลายปีที่ 5 เขาก็ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก

เขาสะพายเป้เดินออกจากเรือนจำ เสื้อไหมพรม 5 ตัวคือสมบัติของเขา เมื่อเขาเดินทางมาถึงบ้านปรากฏว่าหน้าบ้านถูกล็อคด้วยกุญแจ และกุญแจนั้นก็ถูกสนิมกินเขรอะไปหมด ต้นหญ้าภายในบ้านก็ขึ้นสูงเกือบฟุต เขารู้สึกแปลกใจ “แม่” ไปไหน

 

เมื่อเขาเข้าไปถามเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านต่างมองเขาด้วยความประหลาดใจ ต่างก็ถามเขาว่ายังอีก 1 ปีไม่ใช่เหรอ

เขาส่ายหน้าถามไปว่า “แม่ผมล่ะ?”

เพื่อนบ้านก้มหน้าแล้วก็บอกกับเขาว่า “แม่ของเธอตายไปแล้ว!”

เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม เป็นไปได้ยังไง! แม่ของเขาอายุเพิ่งสี่สิบกว่าเองจะตายได้ยังไง? เมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมาเขาเพิ่งได้รับเสื้อกันหนาวของแม่อยู่เลย

 

เพื่อนบ้านจึงพาเขาไปที่หลุมฝังศพ เขาคุกเข่าร้องไห้เหมือนคนเสียสติ เพื่อนบ้านเล่าว่าหลังจากที่เขาทำร้ายคนอื่นจนบาดเจ็บสาหัส แม่ของเขาต้องไปกู้เงินจากเพื่อนบ้าน เพื่อทำการรักษาคนบาดเจ็บนั้น

เมื่อเขาถูกจำคุก แม่จึงย้ายไปรับจ้างในโรงงานประทัดที่ห่างจากบ้านประมาณ 100 กิโลเมตร นานๆ ถึงจะกลับมาสักที ส่วนเสื้อไหมพรมที่แม่ส่งไปให้เขานั้น แม่ฝากเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันเป็นผู้ส่งให้

 

และเมื่อตรุษจีนปีที่แล้วโรงงานประทัดมีออเดอร์เป็นจำนวนมาก จึงให้พนักงานทำโอที แต่โชคร้ายโรงงานระเบิด คนงานต่างถิ่นที่ทำโอทีสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นก็คือแม่ของเขา รวมทั้งเจ้าของโรงงานและลูกหลาน เสียชีวิตทั้งหมดในเหตุการณ์ครั้งนั้น

พูดถึงตรงนี้เพื่อนบ้านก็ถอนหายใจ “ยังมีเสื้อไหมพรมค้างอยู่ที่บ้านฉันอีกหนึ่งตัว เตรียมส่งให้เธอปีนี้!”

 

เขาตีอกชกตัวร้องไห้ไม่หยุดต่อหน้าหลุมฝังศพแม่ เขาเป็นคนทำให้แม่ตาย เขาเป็นลูกอกตัญญู เขาสมควรตกนรก

วันรุ่งขึ้นเขาขายบ้านแล้วก็นำสมบัติคือเสื้อไหมพรม 6 ตัวติดตัวแล้วจากไป

 

4 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาเปิดร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมือง และแต่งงานกับเด็กสาวคนหนึ่งมาเป็นภรรยา ร้านของเขากิจการดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาหารอร่อยราคาย่อมเยา อีกทั้งความอ่อนน้อม และความกระตือรือร้นของผู้เป็นภรรยาในการต้อนรับแขก

เพราะไม่ได้จ้างคนงาน  เขาจึงต้องตื่นประมาณตีสี่เพื่อไปซื้อของมาทำอาหาร สองสามีภรรยาแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็มีความสุข

 

อยู่มาวันหนึ่งหญิงชราหลังคุ้มงอ เดินขากระเผลกลากซาเล้งเข้ามา ทำมือทำไม้ขอรับจ้างเป็นคนจ่ายตลาดแทนเขา หญิงชรารับประกันความสดใหม่ของผักและอื่นๆ อีกทั้งให้ราคาต่ำกว่าท้องตลาด

หญิงชราคนนี้เป็นใบ้ บนใบหน้ามีแผลเหมือนถูกไฟคลอกมาก่อน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงสารและเวทนามาก ภรรยาของเขาไม่เห็นด้วย เพราะรู้สึกสงสารคนแก่

แต่เขาไม่สนใจความเห็นของภรรยา เขาตกลงให้หญิงชราเป็นผู้จ่ายตลาดแทนเขา ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แค่เขารู้สึกถูกชะตากับหญิงใบ้คนนี้เป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะลักษณะของนางเหมือนกับแม่ของเขามากๆ นั่นเอง

 

หญิงใบ้เป็นคนมีสัจจะ ผักและอาหารอื่นๆ ที่นางจัดซื้อหามาให้ทั้งสวยและสดมาก ทุกเช้าประมาณ 6 โมง นางจะลากซาเล้งพร้อมกับผักเต็มลำมาส่งให้ชายหนุ่มที่ร้าน

บ่อยครั้งที่เขาขอเลี้ยงบะหมี่หญิงชรา นางกินค่อนข้างช้าดูเหมือนนางเป็นสุขอย่างมาก

เขารู้สึกสงสารนางจับใจ บอกกับหญิงชราว่า “ยายมากินบะหมี่ได้ทุกวันนะ ผมเลี้ยงเอง”

เมื่อหญิงชรากินเสร็จก็ยิ้มแล้วเดินกระเผลกๆ ออกจากร้านไป

เขามองตามหญิงชราไม่รู้ทำไม เขาเห็นภาพของแม่ทาบอยู่บนร่างของนาง ทำให้เราร้องไห้ตัวโยกด้วยความสะเทือนใจ

 

ผ่านไป 2 ปี จากร้านอาหารเล็กๆ ตอนนี้ร้านของเขากลายเป็นภัตตาคาร 4 ชั้น และด้วยเงินที่สะสมมาหลายปีเขาสามารถซื้อบ้านใหม่ได้อีก 1 หลัง หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คือ “คนส่งผัก” ยังเป็นหญิงใบ้คนเดิมอยู่

 

เช้าวันหนึ่งเขายืนรอผักอยู่หน้าภัตตาคาร รออยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่เห็นหญิงชราเอาผักมาส่ง เขาไม่เคยสอบถามเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ของนางเลย แล้วจะติดต่อได้ที่ไหน? ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงหญิงชรา

เมื่อไม่เห็นเงาของหญิงชราว่าจะมาส่งผักได้เหมือนเดิมหรือเปล่า เขาจึงสั่งลูกน้องออกไปซื้อผักที่ตลาด ผ่านไป 2 ชั่วโมง คนงานก็กลับมาจากตลาดพร้อมกับผักและอาหารอื่นๆ เมื่อเขาตรวจสอบดูคุณภาพของผักไม่ได้ครึ่งของหญิงชราที่จัดหามาให้เขาเลย ผักที่หญิงชรานำมาส่งรู้สึกได้เลยว่าถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี แต่จากวันนั้นเป็นต้นมา หญิงชราก็ไม่ได้มาส่งผักเหมือนเดิมอีกแล้ว

 

ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ วันนั้นเป็นวันตรุษจีนพอดี ในขณะที่เขากำลังห่อเกี๊ยว เขาก็เอ่ยกับภรรยาว่าอยากจะเอาไปให้หญิงใบ้สักชามหนึ่ง และอยากจะไปดูด้วยว่านางเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่เห็นนางมาส่งผักตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง?

ภรรยาเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดมา เมื่อทำเกี๊ยวเสร็จ เขาก็ยกชามเกี๊ยวใส่ตะกร้า ออกจากบ้านเพื่อไปสอบถามถึงหญิงใบ้ที่เดินขากระเผลกกับชาวบ้านในตลาด และเขาก็ทราบว่าหญิงใบ้คนนั้น อาศัยอยู่บ้านเช่าห่างจากภัตตาคารของเขาเพียง 2 ซอยเท่านั้น

 

เมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านเช่าของนาง เขาเคาะประตูเรียกตั้งนานก็ไม่มีใครออกมาเปิดประตู เขาจึงถือวิสาสะผลักประตูเดินเข้าไปในบ้าน ในบ้านแคบๆ มืดๆ นั้นมีหญิงชรานอนอยู่บนเตียงสภาพหนังหุ้มกระดูก เมื่อหญิงชราเห็นเป็นเขาก็ตกใจ พยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่นางก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีแรง

 

เขาเอาชามเกี๊ยววางไว้ที่หัวเตียงและก็ถามว่า “ยายเป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า?” หญิงชราเอาแต่ขยับปากเหมือนอยากจะบอกอะไรกับเขา แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา เขาเอื้อมมือไปเปิดสวิทช์ไฟที่หัวเตียงแล้วเปลี่ยนจากยืนเป็นนั่งลงข้างๆ แทน

 

จู่ๆ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นรูปสองสามใบที่ติดอยู่ผนังห้อง เขาตกตะลึงอ้าปากค้างชาวาบไปทั้งตัว

มันเป็นภาพถ่ายของเขากับแม่ ภาพถ่ายเมื่อเขาอายุได้ 5 ขวบ 10 ขวบและตอนอายุ 17 ปี ที่มุมห้องมีห่อผ้าเก่าๆ อยู่ 1 ห่อ บนห่อผ้านั้นมีรูปดอกเหมยไหมพรมติดอยู่

 

เขาหันกลับมามองหญิงชราด้วยความตะลึง ถามออกไปว่ายายเป็นใครกัน? หญิงชราก็ตกตะลึงไม่ต่างจากเขา สุดท้ายนางก็เอ่ยออกมาว่า “ลูกแม่!”

เสียงเรียกว่า “ลูกแม่” นั้นเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาช็อคไปครู่หนึ่ง หญิงชราคนนี้ไม่ได้เป็นใบ้ คนส่งผักให้เขาเป็นเวลา 2 ปี คนนี้ที่แท้เป็นแม่ของเขาเองหรือ เขารีบคุกเข่ากอดแม่ไว้แน่น สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้เสียงระงม ไม่รู้ว่าเสียงร้องไห้นั้นดังเป็นเวลานานเท่าไหร่

 

เขาเงยหน้าขึ้นมอง เอื้อมมือไปลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลไฟไหม้ของแม่ “เพื่อนบ้านพาผมไปกราบหลุมศพของแม่ บอกว่าแม่ตายไปแล้ว ผมจึงขายบ้านย้ายมาอยู่ที่นี่”

แม่ของเขาปาดน้ำตา บอกกับเขาว่านางเป็นผู้สั่งให้เพื่อนบ้านบอกกับเขาอย่างนั้น ในวันที่โรงงานประทัดระเบิด นางรอดชีวิตออกมาได้ แต่ใบหน้าก็ถูกไฟคลอกจนเสียโฉม

เมื่อเห็นสภาพความน่าเกลียดของตัวเอง อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ยากจน หากวันหนึ่งลูกชายออกจากคุกมา กลัวว่าจะไม่มีใครยอมแต่งงานกับลูกชายของนาง เพื่อไม่ให้เป็นภาระของลูก นางจึงบอกกับเพื่อนบ้านว่าให้บอกลูกชายของนางว่านางได้ตายไปแล้ว เพื่อให้ทรัพย์สมบัตินี้เป็นของลูกอย่างชอบธรรม จะได้นำไปตั้งตัวสร้างครอบครัวใหม่ได้

 

เมื่อลูกชายของนางขายบ้านจากไปแล้ว นางจึงได้กลับไปสอบถามเพื่อนบ้านจึงรู้ว่าลูกชายมาเปิดร้านอาหารอยู่ในเมือง นางจึงเข้ามาเป็นคนเก็บขยะขายประทังชีวิต ใช้เวลาตามหาลูกชายถึง 4 ปีจึงได้เจอกับร้านอาหารของลูกชาย นางดีใจจนแทบจะเป็นบ้า

แต่เมื่อเห็นลูกชายและลูกสะใภ้ทำงานด้วยความลำบาก จึงขันอาสารับเป็นผู้จ่ายตลาดให้ เพื่อแบ่งเบาภาระของลูก ทำมาก็ 2 ปีแล้ว แต่ตอนนี้ขาของนางไม่มีแรง ไม่สามารถลุกเดินเหินได้เหมือนเดิมอีกต่อไป จึงไม่สามารถช่วยลูกชายได้อีกแล้ว

เขาฟังไปร้องไห้ไป ไม่รอให้แม่พูดจบ เขาลุกขึ้นไปหยิบห่อผ้าและอุ้มแม่เดินกลับไปที่บ้าน

 

เขาอุ้มแม่เดินมาไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงบ้านของตัวเอง แม่พูดกับเขามากมาย แม่บอกว่าวันที่เขาเข้าคุกแม่เกือบจะตาย แต่ก็แข็งใจรอให้ลูกออกจากคุกก่อน แม่ยังตายตอนนี้ไม่ได้จึงกัดฟันอยู่ต่อ เมื่อลูกออกจากคุกมาเห็นลูกยังไม่มีครอบครัว แม่ก็คิดว่าแม่ยังตายไม่ได้ เมื่อเห็นลูกมีครอบครัว มีกิจการงานที่ดีแต่ยังไม่มีหลาน ยังไงแม่ก็ตายไม่ได้

ถึงตรงนี้ นางพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุข เขาก็ได้พูดกับแม่ถึงเรื่องราวของเขามากมาย แต่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกความจริงกับแม่ก็คือ คนที่เขาชกต่อยด้วยจนบาดเจ็บสาหัสนั้น เป็นเพราะชายคนนั้นใช้วาจาอันแสนหยาบคาย พูดดูถูกแม่ของเขา เขาไม่กลัวหากใครจะมาชกต่อยหรือทำร้ายเขา เขาทนได้ แต่เขาทนไม่ได้ที่ชายคนนั้นดูถูกแม่ของเขา ด้วยวาจาที่แสนต่ำช้าอย่างนั้น

 

แม่อยู่กับเขาได้ 3 วันก็สิ้นใจ คุณหมอบอกกับเขาว่า “โรคมะเร็งกระดูกที่แม่คุณเป็น น่าจะเสียชีวิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว แต่ที่ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อจนถึงตอนนี้ นี่ถือเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก ดังนั้นคุณไม่ต้องโศกเศร้าเสียใจหรอก ท่านได้อยู่กับคุณนานมากพอแล้ว”

“แม่ของผมเป็นโรคมะเร็งกระดูก!” เขาอุทานออกไปด้วยความตกใจ

 

เมื่อเขาแกะห่อผ้าของแม่ ข้างในมีเสื้อไหมพรมถูกพับไว้อย่างดีอยู่หลายผืน มีเสื้อตัวเล็กที่เขียนกำกับว่า “หลาน” อีกผืนหนึ่งเขียนว่า “ลูกสะใภ้” และอีกผืนหนึ่งที่เขียนว่า “ลูกแม่” ที่ชายเสื้อของทุกตัวจะมีรูปดอกเหมยที่ปักด้วยด้ายไหมพรมสีแดงอยู่ ใต้ห่อผ้านั้นมีใบรับรองแพทย์ของแม่ที่เขียนว่า “มะเร็งกระดูก” วันเวลาเป็นช่วงปีที่ 2 ที่เขาติดคุก เขายืนตัวสั่นเหมือนมีมีดปลายแหลมหลายเล่มเสียบแทงไปที่หัวใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

 

ร้อยพันความดีงาม ความกตัญญูมาเป็นอันดับหนึ่ง

ความรักของพ่อแม่คือสัจธรรมอันแท้จริง

ความกตัญญูของบุตรธิดาก็ควรเป็นสัจธรรมอันแท้จริงเช่นกัน

 

สุดท้ายนี้ กินอยู่เป็นขอฝากเพลงจีนที่หลายคนคุ้นหู ไม่รู้แต่เพราะมาก จนมาเจอช่อง BingQiLin77 แปลให้ฟัง ทั้งเนื้อเพลง พินอิน และคำแปล จึงรู้ว่ามีความหมายดีมากๆ

 

กินอยู่เป็นขอของคุณที่มาของเรื่องเล่า : The Little

 

kinyupen