อยากใช้ชีวิตวิถีเกษตรแบบสโลว์ไลฟ์ รู้ไว้ก็ดีมันมีต้นทุน

0
701
kinyupen

เคยหรือไม่…ที่วันหนึ่งคุณไปนอนพักสูดอากาศในโฮมสเตย์ต่างจังหวัดสัก 2-3 วัน แล้วมีความรู้สึกที่ว่านี่แหละคือ ชีวิตสโลว์ไลฟ์ที่ใฝ่หา ไม่อยากทำงานแล้ว อยากลาออกไปหาที่ทำเกษตรที่ต่างจังหวัด ปลูกผักกินเอง ทำโฮมสเตย์เล็กๆ ดีกว่าไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร ขอบอกเลยว่ามันเหนื่อยนะ และยิ่งถ้าคุณไม่ใช่เศรษฐี หรือ มีเงินเก็บมากพอชีวิตจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

 

ช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา วิถีเกษตรถูกวาดภาพจากละครทีวี ภาพยนตร์ หนังโฆษณา นิตยสารเก๋ๆ ชิคๆ ให้กลายเป็นเทรนด์ความสุขแบบหนึ่งในชีวิตที่ชนชั้นกลาง หรือ คนเมืองรุ่นใหม่ ควรแสวงหาเพื่อตอบโจทย์ชีวิตสโลว์ไลฟ์ในฝัน ด้วยภาพจินตนาการที่แสนโรมานซ์ คือ การกลับไปใช้ชีวิตทำการเกษตรอยู่ในทุ่งนาสีเขียว ปลูกผัก ทำสวนผลไม้ปลอดสารพิษกินเอง มีเหลือก็ขายมีรายได้เลี้ยงตัว นี่คือความสวยงามของชีวิตที่แท้จริง ที่เงินทองไม่สามารถซื้อได้

 

แต่นั่นมันคือภาพในจินตนาการแหละ ชีวิตจริงมันมีอีกมุมที่ซ่อนอยู่ เพราะอาชีพเกษตรกรรมของไทยเป็นอาชีพที่ไม่สามารถรับประกันความมั่นคงได้เลย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย มันไม่ได้สวยงาม หรือ ง่ายเหมือนในละครทีวี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพอากาศฝน ความแห้งแล้งที่คาดเดาไม่ได้เลย ปัญหาแรงงาน การกดราคาของพ่อค้าคนกลางที่ยังคงมีอยู่แต่เปลี่ยนรูปแบบไปบางทีก็ฉวยโอกาสแฝงมาในรูปแบบนโยบาย รวมถึงค่าเช่าที่ดินสำหรับคนที่ไม่มีที่ของตนเอง

 

แม้กระทั่งราคาปุ๋ย ที่บางคนอาจจะแย้งว่าทำไมไม่ทำเกษตรอินทรีย์ จริงแล้วคนที่ทำเกษตรเลี้ยงชีพเป็นหลักหลายคนก็อยากทำ แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและต้องทยอยปรับปรุงดิน ฉะนั้นถ้าที่ดินไม่มากพอ หรือ เงินไม่หนาพอ คงไม่สามารถทำได้ในเร็ววันเหมือนทฤษฎีบนกระดาษ ส่วนที่ปรากฏบทสัมภาษณ์ต่างๆ ว่าเขาเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ เขาใช้ชีวิตที่มีความสุข เพราะแค่ปลูกผักกินก็ทำให้เขามีรายได้หลายหมื่นบาทถึงหลายแสนบาทต่อเดือนแล้ว นั่นก็มีอยู่จริง แต่ก็เป็นส่วนน้อยของคนเมืองที่ผันไปทำเกษตรแล้วจะลืมตาอ้าปากได้จริง น้อยรายที่จะอยู่รอด

 

อย่างไรก็ตาม บทความนี้ไม่ได้บอกว่าคุณอย่าคิด อย่าทำ เพราะบางทีมันอยากไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่ตั้งใจ พร้อมเรียนรู้และอดทนมากพอ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจ เราอยากให้คุณค่อยๆ พิจารณา 3 ข้อนี้ก่อน เพราะเหล่านี้คือต้นทุนสำคัญที่คุณต้องมีก่อนลงมือทำ

 

1.พร้อมจริงหรือไม่ถามใจคุณดู

ถ้าได้คำตอบว่า พร้อมแล้ว เพราะอยากมีเวลา ไม่เหนื่อย ไม่เครียด ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร ขอให้คิดทบทวนอีกรอบ

เพราะงานประจำมีเวลาหยุดพักผ่อนที่แน่นอน แต่การทำเกษตรต้องใช้เวลามากกว่านั้นอาจต้องใช้เวลาทั้งวัน โดยไม่มีวันหยุด เพราะต้องดูแลเอาใจเสมือนลูกน้อยเพื่อให้ผลผลิตเติบโตในระดับที่พอต่อการขายเพื่อดำรงชีพ และนี่เป็นอาชีพที่ “เหนื่อยมาก” ในช่วงเริ่มต้นซึ่งต้องลงแรงกาย แรงใจ แรงเงินเป็นพิเศษ

ส่วนใครที่อยากเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ด้วยการหาเครื่องทุ่นแรงมาใช้ หรือ จ้างแรงงานมาทำแทน อันนั้นต้องถามกระเป๋าตังค์คุณด้วยว่าไหวแค่ไหน

 

2.องค์ความรู้พอหรือยัง รู้จักตลาดดีหรือไม่

อย่าเชื่อตามกระแสในบทความ หรือ สกู๊ปเก๋ๆ ไปเสียทั้งหมด ว่าปลูกแบบนี้ทำเงินล้าน เพราะชีวิตจริงมีปัจจัยอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพพื้นที่ของคุณเหมาะกับพืชแบบไหน กระแสพืชชนิดนี้เป็นอย่างไร มีแผนเรื่องดิน น้ำ อากาศ ปุ๋ย ธาตุอาหาร หรือ วิธีการรับมือโรคพืชและแมลงคุณมีแล้วหรือยัง และที่สำคัญตลาดของคุณอยู่ตรงไหน

เพราะการจะเลี้ยงชีพได้จริง ไม่ได้มาจากการเด็ดผัก ตัดผลไม้ไปขายในตลาดใกล้บ้านเท่านั้น แต่อาจต้องมองถึงจุดที่จะกระจายสินค้า หรือ ทำเงินให้คุณได้มากพอ ซึ่งอาจต้องพร้อมเล่นเอง เจ็บเองสักระยะ

 

3.มีเงินทุน หรือ ที่ดินพร้อมหรือไม่

หนึ่งในต้นทุนสำคัญของการทำเกษตรกรรมที่ขาดไม่ได้คือที่ดิน ถ้าไม่มีที่ดิน การไปเช่าอาจโดนค่าเช่าที่ดินคนอื่น อาจเป็นต้นทุนที่มีผลต่อรายได้ของคุณเกินกว่า 50%

และควรเตรียมเงินทุนให้พร้อม เพราะต้องรอเก็บเกี่ยวผลผลิตถึงจะมีรายได้ ช่วงที่รอก็ต้องใช้เงิน ถ้าเตรียมไว้ไม่พออาจท้อและหมดกำลังใจไปเสียก่อน เพราะรายได้ที่เข้ามาแรกๆ อาจไม่สมดุลกับสิ่งที่ลงทุนจ่ายไป

 

ดังนั้นควรคิดให้ดี ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน เพราะการทำเกษตรอาจดูไม่ยากสำหรับคนที่มีประสบการณ์ หรือ เงินทุนที่หนาพอ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยทำ โดยเฉพาะกับคนเมืองที่ไม่เคยจับจอบ เสียม ลุยโคลน ลุยสวน แบกหามแบบจริงจัง บางคนอาจบอกว่าใช้เงินทำงานสิ จ้างเขาทำก็ได้ แต่นั่นก็คือการต้องพึ่งพามือเท้าจากคนอื่นถ้าได้คนดีก็ดีไป แต่ถ้าเราไม่ลงไปดูแลแบบใกล้ชิด ไม่รู้ราคาต้นทุน วัตถุดิบ ราคาตลาด ช่องทางการขาย โอกาสที่จะประสบความสำเร็จแบบลืมตาอ้าปากได้นั้นมันยากจริงๆ

kinyupen