ราวกลางปีที่แล้ว มีนิยายทริลเลอร์เล่มหนึ่งออกวางจำหน่าย ชื่อ What’s Left of Me Is Yours เขียนโดย สเตฟานี สก๊อตต์ นักเขียนชาวอังกฤษ นิยายเรื่องนี้นำโครงเรื่องบางส่วนมาจากคดีฆาตกรรมนางริเอะ อิโซฮาตะ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2553 ผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลร่วมกับสมาคมกฎหมายญี่ปุ่นแห่งอังกฤษ เพื่อให้ได้เรื่องราวเชิงลึกมาแต่งนิยายเล่มนี้
คดีฆาตกรรมเมื่อสิบปีก่อนอยู่ในสายตาของคนทั่วโลกก็เพราะฆาตกร-นายทาเคชิ คุวาบาระ ทำธุรกิจที่เรียกว่า “วะคะเระซาเซยะ” (wakaresaseya) คือรับจ้างสามีมาเป็น “มือที่สาม” เพื่อทำให้ชีวิตแต่งงานของพวกเขาจบลง โดยที่คู่สามี-ภรรยาไม่ต้องเผชิญหน้ากัน คุวาบาระเคยรับจ้างงานอย่างนี้มาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ลงเอยด้วยโศกนาฏกรรม
คุวาบาระ เข้าไปทำความรู้จักนางอิโซฮาตะในซูเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง เขาอ้างว่าตัวเองเป็นพนักงานไอที จากนั้นทั้งคู่ก็สานความสัมพันธ์กันจนถึงขั้นชู้สาว คุวาบาระจ้างเพื่อนให้ถ่ายรูปทั้งสองขณะเข้าโรงแรมเพื่อเป็นหลักฐานให้สามีของนางอิโซฮาตะใช้ในการฟ้องหย่า เมื่อนางอิโซฮาตะรู้ว่าตนเองถูกหลอก เธอบอกเลิกกับคุวาบาระ แต่เขาไม่ยอมเลิก คุวาบาระใช้เชือกรัดคอเธอจนเสียชีวิต และถูกตัดสินจำคุก 15 ปี
ธุรกิจวะคะเระซาเซยะได้รับความสนใจนับแต่นั้นมา ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีธุรกิจทำนองนี้ไม่น้อย ส่วนใหญ่ซ้อนทับอยู่ในสำนักงานนักสืบเอกชน ซึ่งต่อมารัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดให้สำนักงานนักสืบเอกชนต้องมีใบอนุญาตทำธุรกิจวะคะเระซาเซยะอย่างถูกต้อง
ผ่านไปสิบปีแล้ว ธุรกิจวะคะเระซาเซยะนอกจากจะไม่ตาย (เพราะความกลัว) ยังกลับมาเฟื่องฟูในโลกออนไลน์ มีโฆษณาให้บริการของบริษัทรับจ้างทำให้คู่รักเลิกรากันมากกว่า 200 แห่ง ส่วนใหญ่ผูกอยู่กับบริษัทนักสืบเอกชน และค่าบริการก็สูงมากๆ สนนราคาต่ำสุดนั้นอยู่ที่หลักแสน ถ้าเป็นคนมีชื่อเสียงก็จะแพงถึงหลักล้าน แต่ก็มีคนใช้บริการเรื่อยๆ เพราะช่วยลดปัญหาการเผชิญหน้า ไม่ต้องปวดหัวใจกับการทะเลาะทุ่มเถียงกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง
- Living with Character เมื่อผมแต่งงานกับ “ตุ๊กตา”
- จากผู้หญิง ถึง ผู้หญิง…สไตล์สตรีหมายเลข 1 ของแดนมังกร
- Soul Mate So true คู่แท้อยู่ไม่ไกล
- ฟาดกันไม่ยั้ง! จาก Finding Freedom สู่ The Real Story
สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงส่งเสริมให้ผู้หญิงญี่ปุ่นมีบทบาทมากขึ้น และก็ทำให้คนญี่ปุ่นหย่าร้างกันมากขึ้น มีการเก็บสถิติพบว่า คู่ที่หย่าร้างนั้นส่วนมากเป็นพวกที่อยู่ด้วยกันมาเกิน 20 ปีแล้วทั้งนั้น
แต่ญี่ปุ่นไม่นิยมเผชิญหน้ากันตรงๆ เพื่อเคลียร์ปัญหาระหว่างสามี-ภรรยา ต่างจากวัฒนธรรมตะวันตกที่ทำเรื่องนี้กันเปิดเผย โดยผ่านตัวแทนที่เป็นทนายความ อาชีพวะคะเระซาเซยะจึงมิเพียงทำหน้าที่เป็นมือที่สามในกรณีเคสผู้หญิง แต่ยังรับจ้างภรรยาไปล้วงความลับสามีที่แอบไปมีกิ๊ก โดยใช้นักสืบผู้ชายเข้าไปตีสนิท และประกบตัวกิ๊กโดยใช้นักสืบหญิงเข้าไปสืบว่ากิ๊กชอบผู้ชายแบบไหน จากนั้นนักสืบชายก็จะปลอมตัวเข้าไปตีสนิทด้วยข้อมูลที่สืบมาได้ เพื่อทำให้กิ๊กกับตัวเขามีความสัมพันธ์กัน ผลที่ได้คือตัวสามีตกหลุมพราง ทั้งเรื่องมีกิ๊ก แถมยังโดนกิ๊กไปมีกิ๊กต่ออีกที
โอย…ซับซ้อนยิ่งนัก!
แบบนี้เองที่ทำให้ธุรกิจวะคะเระซาเซยะมีราคาแพงลิบลิ่ว เพราะเป็นการลงทุนที่ต้องใช้ “สายลับ” หลายคนเพื่อให้เป้าหมายติดกับดักและยังต้องใช้เวลาขุดหลุมพรางอยู่นานหลายเดือน
ตอนแต่งงานก็ว่าแพงแล้ว ตอนจะพังชีวิตคู่ ก็ยังแพงพอกัน!
ข้อมูลประกอบการเขียนและภาพประกอบ