ในประเทศไทย โรคเบาหวาน ถือเป็นอีกหนึ่งโรคยอดฮิตที่พบผู้ป่วยมากเป็นอันดับต้น ๆ ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย รวมถึงผู้ที่ละเลยการดูแลสุขภาพ ประกอบกับภาวะตึงเครียดในการดำรงชีวิตอยู่เป็นประจำ ยิ่งทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามากขึ้นจนร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมาจนไปกระตุ้นให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานได้เช่นกัน
ปัจจุบัน มีผู้ป่วยโรคเบาหวานจำนวนมากถึงห้าล้านคนในประเทศไทย และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้หากผู้ป่วยโรคเบาหวานดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ มักจะส่งผลจนก่อให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อนตามระบบและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ก็คือ “ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา” (Diabetic Retinopathy: DR) นั่นเอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบที่เกิดจากโรคเบาหวานที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย
เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่มักจะละเลยการตรวจสายตาและการมองเห็นอย่างสม่ำเสมอ และยิ่งเพิกเฉยเมื่อร่างกายยังไม่ได้แสดงอาการบกพร่องใด ๆ โดยเฉพาะการมองเห็น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาได้ ดังนั้นผู้ป่วยและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดควรได้รับความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาวะเบาหวานขึ้นตา เพื่อเป็นการป้องกันและดูแลอย่างเหมาะสมก่อนที่จะเกิดอาการจนยากต่อการรักษา
รศ.พญ. โสมศิริ สุขะวัชรินทร์, แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจอประสาทตาและม่านตาอักเสบ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา หรือที่มักเรียกกันว่า ‘โรคเบาหวานขึ้นตา’ คือ ภาวะแทรกซ้อนทางตาที่เกิดจากโรคเบาหวานทำให้เกิดอาการตามัว และสามารถส่งผลร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้ เป็นผลจากการที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ โดยเกิดจากตับอ่อนสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอ
ซึ่งอินซูลินมีหน้าที่นำน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อมีภาวะขาดอินซูลิน ทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลค้างอยู่ในกระแสเลือดเป็นจำนวนมาก ทำให้หลอดเลือดเกิดความผิดปกติส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายรวมถึงดวงตาโดยเฉพาะที่จอตา มีการรั่วซึมของเลือดและน้ำเหลืองออกจากหลอดเลือดกระจายทั่วในจอตา มีการอักเสบเกิดขึ้นตามมา จนมีภาวะอุดตันของหลอดเลือดส่งผลให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปกติทำให้เกิดภาวะจอตาขาดเลือด มีการตายของเซลล์จอตา
ซึ่งจากสถิติผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทย พบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานตั้งแต่อายุน้อยช่วงอายุ 10-15 ปี หรือเบาหวานประเภทที่ 1 มีโอกาสมีภาวะเบาหวานขึ้นตาได้มากถึงร้อยละ 98 และผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปหรือเบาหวานประเภทที่ 2 มีโอกาสมีภาวะเบาหวานขึ้นตาได้มากถึงร้อยละ 60 โดยสามารถพบได้ทั้งเพศหญิงและเพศชายในอัตราเท่า ๆ กัน
อาการของโรคเบาหวานขึ้นตา
โดยทั่วไปในระยะแรกผู้ป่วยมักจะไม่แสดงอาการ หรืออาจเกิดความผิดปกติในการมองเห็นเพียงเล็กน้อยจึงทำให้ผู้ป่วยละเลยในการควบคุมระดับน้ำตาล ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีอาการและมาตรวจมักจะพบว่ามีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาเข้าสู่ระยะที่เริ่มมีผลกระทบต่อการมองเห็นแล้ว อันเป็นผลมาจากภาวะจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งอาการผิดปกติดังกล่าว ได้แก่ มองเห็นจุดหรือเส้นสีดำคล้ายหยากไย่ลอยไปมา มองเห็นภาพบิดเบี้ยว ตามัว การมองเห็นแย่ลง สายตาไม่คงที่ แยกแยะสีได้ยากขึ้น ภาพที่มองเห็นมืดเป็นแถบ ๆ และหากผู้ป่วยได้รับการรักษาช้า จะยิ่งส่งผลร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้”
ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy: DR) แบ่งระยะความรุนแรงของโรคเป็น 2 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 เบาหวานขึ้นตาระยะเริ่มแรก หรือระยะที่ยังไม่มีเส้นเลือดเกิดใหม่ (Nonproliferative Diabetic Retinopathy: NPDR) เป็นระยะที่ผนังของเส้นเลือดที่จอตาไม่แข็งแรง ส่งผลให้เส้นเลือดโป่งขึ้น อาจทำให้เลือดหรือของเหลวรั่วออกมาในจอตา และเส้นเลือดใหญ่ที่จอตาจะเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นจนผิดปกติ รวมถึงเส้นใยประสาทของจอตาและจุดภาพชัด (Macula) อาจเริ่มมีอาการบวม ในระยะเริ่มแรกอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากมีการอุดตันของเส้นเลือดที่เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้อาการรุนแรงได้
ระยะที่ 2 เบาหวานขึ้นตาระยะก้าวหน้า หรือระยะที่มีเส้นเลือดเกิดใหม่ (Proliferative Diabetic Retinopathy: PDR) เป็นระยะที่เนื้อเยื่อของชั้นจอประสาทตาเริ่มขาดออกซิเจนและขาดสารอาหารไปเลี้ยง เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดไม่ปกติ ทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทน ซึ่งเส้นเลือดที่สร้างขึ้นใหม่เหล่านี้อาจไม่ได้พัฒนาอย่างเหมาะสม ทำให้มีเลือดรั่วซึมออกมาที่บริเวณวุ้นตา (Vitreous) และอาจทำให้เกิดพังผืดเกิดการดึงรั้งจอตาซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดจอตาหลุดลอกออกจากด้านหลังของดวงตา หรือในกรณีที่เส้นเลือดใหม่ที่เกิดขึ้นไปแทรกแซงการระบายน้ำออกจากลูกตา จะส่งผลให้ความดันตาสูงขึ้น สร้างความเสียหายต่อเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ส่งภาพจากดวงตาไปยังสมอง และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต้อหินได้
สำหรับการรักษาภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา
แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมอาหารและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หากเริ่มมีอาการทางจอประสาทตาจนถึงระยะที่สอง แพทย์จะรักษาด้วยการยิงเลเซอร์เพื่อกำจัดจอประสาทตาที่ตายแล้วและหลอดเลือดเกิดใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามมากขึ้น ส่วนกรณีที่มีอาการเลือดออกในน้ำวุ้นลูกตาหรือจอประสาทตาหลุดลอก อาจจะต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ซึ่งผลของการรักษานั้นไม่แน่นอน โดยหากผู้ป่วยที่ปล่อยให้มีอาการรุนแรงถึงขั้นนี้แล้ว มักจะพบว่าสายตาได้รับความเสียหายไปมากแล้ว
“โรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตานับว่าเป็นภัยเงียบที่มากับโรคเบาหวานโดยแท้จริง ซึ่งในระยะเริ่มแรกอาจไม่แสดงอาการใดๆ เลย แต่ไม่ควรเพิกเฉยว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แม้แต่กรณีที่ผู้ป่วยพึ่งตรวจพบว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน ก็ไม่ได้แสดงว่าพึ่งป่วยในระยะเริ่มต้น เพราะอาจป่วยด้วยโรคเบาหวาน และ/หรือมีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาร่วมด้วยมาระยะหนึ่งแล้วเพียงแค่ไม่แสดงอาการก็เป็นได้ นั่นหมายความว่าเบาหวานอาจเข้าสู่จอประสาทตาของผู้ป่วยไปเรียบร้อยแล้ว ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลผู้ป่วยด้านนี้จึงแนะนำให้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ควรหมั่นตรวจคัดกรองหาภาวะเบาหวานขึ้นตาเป็นประจำทุกปี อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เพื่อให้สามารถรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของอาการ ซึ่งมีโอกาสยับยั้งไม่ให้อาการลุกลามจนยากเกินจะรักษาได้” รศ.พญ.โสมศิริ สุขะวัชรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย
สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ป่วยเบาหวานควรให้ความใส่ใจ คือ เมื่อทราบว่าป่วยเป็นโรคเบาหวานแล้วควรเข้ารับการตรวจจอประสาทตาโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคเบาหวาน มีภาวะน้ำหนักตัวเกิน มีค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) สูงกว่า 25 อยู่ในภาวะตั้งครรภ์และมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินค่าปกติ ซึ่งจัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะเบาหวานขึ้นตา
นอกจากนี้ ภาวะความดันโลหิตสูงและระดับไขมันในเลือดสูงยังเป็นปัจจัยเร่งให้อาการของโรคแย่ลงเร็วขึ้นด้วย การตรวจคัดกรองและพบความผิดปกติในระยะเริ่มแรกจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาการมองเห็นและดวงตาเอาไว้ได้ เพราะฉะนั้นจึงแนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรขอรับคำปรึกษาและรับการตรวจจอประสาทตาโดยจักษุแพทย์ที่ท่านไว้วางใจเพื่อท่านจะได้มีดวงตาที่มองเห็นได้ชัดเจนอีกยาวนาน