เทคนิคทรัมป์ใช้ “ความมั่นคง VS ธุรกิจ” เปลี่ยนสัญชาติ TikTok

0
542
kinyupen

การแข่งขัน ต่อสู้กันระหว่างอเมริกา กับจีน ถือเป็นข่าวที่ทั่วโลกจับตามอง โดยเฉพาะความพยายามที่จะต่อสู้กันเพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในทุกเรื่อง ล่าสุด บีบีซีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ได้ออกมาประกาศชัดเจนว่า เตรียมที่จะแบนแอปพลิเคชัน TikTok ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา หลังเหตุการณ์โควิด 19 ระบาด ทำให้ชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป หรือคนดังระดับฮอลลิวูด หันมาใช้แอปฯ TikTok ผลิตคอนเทนต์ออกมาเผยแพร่ รวมทั้งยังใช้เป็นช่องทางด้านธุรกิจอื่นๆ อีกจำนวนมาก

 

ทรัมป์ให้เหตุผลของเขาที่มีแนวโน้มว่าจะแบนแอปพลิเคชัน TikTok ว่า แอปพลิเคชัน ซึ่งมีเจ้าของคือบริษัท ไบท์แดนซ์ (ByteDance) เป็นสัญชาติจีน อาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของอเมริกา จนทำให้เขาตัดสินใจลงนามร่วมกับกระทรวงสำคัญของอเมริกาอีก 16 กระทรวง เช่น กระทรวงกลาโหม, กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ แบนการใช้แอปพลิเคชันนี้ใน ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของอเมริกากำลังสอบสวนความเชื่อมโยงของบางธุรกิจที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคงระดับชาติ โดยการลงนามดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา สร้างความตกใจให้กับชาวอเมริกันจำนวนมากที่นิยมใช้ TikTok เป็นช่องทางการผลิตคอนเทนต์ในจุดประสงค์ต่างๆ ตั้งแต่การทำเพื่อความสนุกสนาน ไปจนถึงการสร้างธุรกิจขนาดใหญ่

 

อย่างไรก็ตามมีการวิเคราะห์จากหลายฝ่ายต่อประเด็นที่เกิดขึ้นว่าการตัดสินใจแบนแอปฯ TikTok ครั้งนี้ ไม่เพียงจะเป็นเรื่องของความมั่นคงที่ทรัมป์ออกมาระบุอย่างชัดเจนเท่านั้น แต่อาจจะยังมีนัยสำคัญบางอย่าง เนื่องจากก่อนหน้านี้บริษัทไมโครซอฟต์ กับ บริษัท ไบท์แดนซ์ (ByteDance) ซึ่งเป็นเจ้าของ TikTok กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายแอปพลิเคชันนี้ โดยไมโครซอฟต์ ของอเมริกา ตกลงขอซื้อกิจการของแอปฯ Tiktok ทั้งหมด เป็นมูลค่ามากกว่าห้าหมื่นล้านดอลลาร์ แต่บริษัท ไบท์แดนซ์ (ByteDance) ไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ เพราะต้องการที่จะขายกิจการให้ไมโครซอฟต์ แต่จะขอถือหุ้นบางส่วนอยู่ ทำให้การเจรจายังไม่ได้ข้อสรุป

 

หลังตกเป็นข่าวผู้บริหารของ ไบท์แดนซ์ ไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ แต่ยังยืนยันว่า TikTok จะสามารถสร้างความสำเร็จให้กับผู้ใช้ได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน

 

 

ก่อนหน้านี้แอปฯ TikTok ได้ถูกหลายประเทศแบนไม่ให้ใน 2 ประเทศแล้ว ได้แก่ อินเดีย และฮ่องกง และมีแนวโน้มว่าออสเตรเลียก็จะแบนไม่ให้มีการใช้ TikTok ภายในประเทศด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลรั่วไหล ไปยังรัฐบาลปักกิ่ง

 

เมื่อทรัมป์ลงนามจะแบนแอปฯ TikTok ทำให้ตอนนี้เกิดความปั่นป่วนในกลุ่มผู้ใช้ชาวอเมริกันจำนวนมาก เพราะเชื่อว่าจะกระทบต่อการใช้งานของพวกเขา จนกระทั่งต้องหาช่องทางใหม่เพื่อใช้ในการเผยแพร่ หลายธุรกิจใช้แอปฯ TikTok สร้างมูลค่าทางธุรกิจ และคอนเทนต์ดีๆ จำนวนมากก็ถูกเผยแพร่โดยผ่านช่องทางนี้ โดยการแบน TikTok ทำให้เกิดความกังวลกระจายไปถึงแอปพลิเคชันสัญชาติจีนอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะ Wechat ซึ่งมีชาวจีนในอเมริกา รวมไปถึงผู้ที่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชาวจีนใช้เป็นช่องทางติดต่อสื่อสาร ที่เกรงว่าอาจจะถูกทรัมป์แบนตามไปด้วย ทำให้ตอนนี้มีการผ่องถ่ายข้อมูลต่างๆ ที่เคยใช้ในแอปฯ Wechat ไปยังแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่อาจจะปลอดภัยกว่าแอปพลิเคชันจากจีน เช่น Whatapp หรือ Line ของญี่ปุ่นและเกาหลี เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตามล่าสุดไมโครซอฟต์ได้ออกมายืนยันว่าการเจรจาซื้อกิจการของ TikTok ในตลาดสหรัฐ มีความคืบหน้าด้วยดีและคาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงซื้อขายกันได้เรียบร้อยภายในวันที่ 15 ก.ย. ที่จะถึงนี้ หลังจากที่ทรัมป์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ หลังจากการลงนามแบน TikTok ไปได้สามวันก่อนหน้าว่า อเมริกาจะปิด TikTok แน่ ๆ ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ เว้นแต่ว่าไมโครซอฟต์หรือบริษัทอื่น ๆ มาซื้อกิจการแอปฯ นี้ และหากการซื้อขายกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นจริง ๆ ก็ขอให้มีการ “จ่ายเงินก้อนใหญ่ ๆ ” ให้รัฐบาลสหรัฐด้วย ในฐานะที่ดีลนี้ต้องได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจึงจะสามารถเกิดขึ้นได้ และยังบอกด้วยว่า เขาไม่ขัดขวาง ในทางกลับกันกลับสนับสนุนให้บริษัทอเมริกันซื้อกิจการของ TikTok ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องการดังว่า

และนี่แหละคือเทคนิดของทรัมป์ ที่นักวิเคราะห์มองไว้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่มองออกได้ไม่ยากนัก…เพราะนอกจากจะเปลี่ยนสัญชาติให้ TikTok กลายเป็นอเมริกันแล้ว รัฐบาลของทรัมป์ยังได้เงินก้อนใหญ่จากดีลนี้อีกด้วย…

 

kinyupen