ในกลุ่มแพลทฟอร์มคอมมูนิตี้ ประเภทสอบถามความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็น pantip หรือ X ที่เกี่ยวกับ Buy Now Pay Later ซื้อก่อนผ่อนจ่ายทีหลัง สิ่งที่จะขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ จากที่ กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต ได้เข้าไปสำรวจมาคือ “คำถาม” ที่มักจะเป็น Gen Z คือ เพิ่งได้วงเงินครั้งแรก จากแอปฯช็อปปิ้งออนไลน์มา ใช้เงินหมดแล้ว แต่ผ่อนไม่ไหว ทำอย่างไรได้บ้าง ? ไม่จ่ายได้ไหม ? หรือค้างชำระยอดหลักพัน และเว้นว่างจากการชำระหนี้ จนเค้าเงียบไป จะโดนหมายศาลไหม ถ้าปล่อยทิ้งไว้ หรือตอนนี้เริ่มจ่ายไม่ไหวค้างกี่เดือนถึงจะโดนหมายศาล และติดหนี้จากช็อปปิ้งออนไลน์ จ่ายไม่ไหว อยากปรับโครงสร้างควรทำอย่างไร ?

ส่วนคำถามอีกกลุ่มคือ ได้รับวงเงินเพิ่ม แต่ยังชำระวงเงินเดิมไม่หมด เช่น จากที่ได้วงเงินมา 50,000 บาทใช้ไปแล้ว 40,000 บาท แจ้งเสนอขึ้นมาว่า ได้สิทธิ์วงเงินพิเศษอีก 9,000 บาท เอาดีไหม ?
คำถามส่วนหนึ่งที่นำเสนอข้างบน จะเห็นได้ว่า กลุ่มนี้ Joy กับการ “ช็อป” จนนำไปสู่การ “ช็อต” เงิน เพราะจ่ายไม่ไหว หากสิ่งที่ยังไม่ตามมาคือหมายศาล แต่ข้อสรุปจะเป็นอย่างไร ไม่ได้สำคัญเท่ากับ “กองเชียร์” ส่วนใหญ่ในโลกออนไลน์ จากแพลทฟอร์มที่ถามเข้าไป เพราะมักจะให้ความเห็น ไปให้สุดซอย” “กดรับสิทธิ์ไปเลย” “เงินของเราจะใช้ยังไงก็ได้” บางคนก็ให้ความเห็น โดยบอกว่า พนักงานเค้าน้อย ยอดไม่เยอะ เค้าไม่ฟ้องหรอก หรือ กรณีนี้เป็นคดีแพ่งไม่ติดคุก ทั้งหมดนี้เสมือนชี้นำ แต่ไม่ได้ช่วยกันเตือนให้ระวัง

อย่างไรก็ตาม มีความเห็นบางส่วนที่ระบุว่าแคมเปญประเภทนี้ก็เสมือน เหยื่อล่อปลา ถ้ากลุ่มผู้ใช้เป็นคนที่มีความระมัดระวัง หรือ มีงานที่มั่นคง ปัญหาก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าเป็นเด็ก หรือคนที่ไม่มีวินัย ก็รังแต่จะสร้างปัญหา จนสุดท้ายกลายเป็นดินพอกหางหมู เงินหมุนไม่ทัน ใช้หน้า ชนหลัง จน “ช็อค” กันไปเลย

อันดับแรก กินอยู่เป็น ขอชวนมาทำความเข้าใจกับ Buy Now Pay Later ก่อนว่ามีกลไกอย่างไร โดยข้อมูลนี้ส่วนหนึ่งมาจาก Money Matters ของพอล ภัทรพล โมเดลนี้ เจ้าของแพลทฟอร์มจะได้เปอร์เซ็นต์จากร้านค้าที่อยู่ระหว่าง 3-6% และได้ค่าปรับจากลูกค้ากรณีที่ชำระช้า ขณะเดียวกันถ้าลูกค้าต้องการผ่อนจ่ายมากกว่างวดชำระที่กำหนด ก็จะมีดอกเบี้ยเพิ่มเติม ขณะเดียวกันโมเดลนี้ มีการศึกษามาอย่างดี โดยเล่นกับกลไกสมอง ที่ทำให้รู้สึกว่า ได้ของเร็ว จ่ายน้อยลงไม่ต้องรอเก็บเงินก้อน

ส่วนข้อสงสัยที่ว่าแล้วโมเดลนี้เหมือนหรือต่างจากบัตรเครดิต จะต่างตรงที่ Buy Now Pay Later ระบบอนุมัติไวเสนอเงื่อนไขเร็ว หลักฐานไม่ต้อง ดอกเบี้ยบอกว่าไม่มี แต่ถ้าผิดชำระเกินเกณฑ์กำหนด ดอกเบี้ยที่ไม่มีจะโผล่ทันที ที่เรทประมาณ 20-30% และสิ่งที่ต่างจากบัตรเครดิตวันนี้ผู้ที่ค้างชำระจะไม่ถูก black list ในเครดิตบูโร หากในอนาคตเหมือนว่าทางภาครัฐ จะออกกฎระเบียบให้ทุกระบบเข้าไปอยู่ในฐานของเครดิตบูโร เพื่อจะได้บริหารจัดการหนี้ในส่วนบุคคลได้

โมเดลนี้ ข้อเสียที่เราอาจนึกไม่ถึง คือ การเงินของเราจะค่อย ๆอ่อนแอโดยไม่รู้ตัว เข้าสู่การเป็นหนี้ที่ง่ายขึ้น เยอะขึ้น เพราะระบบนี้ เจ้าของแพลทฟอร์มมีข้อมูลของผู้ใช้ที่วิเคราะห์แล้วว่า มีพฤติกรรมแบบไหน ชอบซื้ออะไรโดยระบบจะคำนวณได้ถึงขั้นประเมินรายได้ว่าเท่าใด มีวินัยการเงินอย่างไร และที่ตามมาอาจจะเสนอให้วงเงินให้กู้โดยจะเริ่มด้วยหลักพัน และขยับปรับวงเงินเพิ่ม

ปัจจุบันข้อกังวลของโมเดล Buy Now Pay Later คือ หนี้ที่พอกพูนและไม่สามารถชำระคืนได้ เนื่องจากเต็มกำลัง ด้วยผ่อนจ่ายหลายทาง เป็นหนี้หลายแห่ง กับ กลุ่มที่ไม่มีกำลังแต่ติดพฤติกรรม “FOMO” ด้วยแคร์สังคม จากหนี้ของคนเล็ก ๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบันส่งผลต่อเครดิตประเทศ

ด้วยจากเรื่องเล็กที่กลายเป็นเรื่องใหญ่นี่เอง ทำให้ทุกคนทั้งโค๊ช นักการเงิน นายธนาคาร นักเศรษฐศาสตร์ หรือแบงค์ชาติ ต่างแสดงความกังวล มีการเสนอแนวทางให้ หนี้ในกลุ่ม Buy Now Pay Later เข้าร่วมกับระบบเครดิตบูโร หาก กินอยู่เป็น ก็อยากเสนอในอีกทางว่า เจ้าของโมเดล หรือแพลทฟอร์ม Shopping Online ปรับรายละเอียดให้รัดกุม และมีขอบเขตมากขึ้น เพราะสุดท้าย เราจะกลายเป็นเหยื่อและผู้สูญเสียทั้งระบบ



