ข่าวตลาดหุ้นไทยกินบ๊วยโลก ต่างชาติเทขาย 1.9 พันล้าน เงินหายกว่า 4 ล้านล้าน ดัชนีหุ้นลงลึกหลุด 1300 จุด พาดหัวตัวแดงนี้บางคนอาจนึกว่าไม่กระทบ แต่กลุ่มคนทำงานประเภทซื้อกองทุน ประหยัดภาษี กลุ่มคนรุ่นใหม่หวังรวยด้วยหุ้น กับกลุ่มเกษียณ ใกล้เกษียณ คงอยู่ในอาการหนาว และทำใจ เพราะเงินกำไรไม่เพียงหด แต่ต้นทุนหายไปอย่างน้อย 20%
ดัชนีตลาดหุ้นลงจากพันเจ็ด พันห้า พันสี่ ตอนนี้ใกล้พันสอง ส่วนประเภทหุ้นบางตัวลงเกินกว่า 30% เพราะเกิดกระแสว่าเป็นหุ้นเน่าเกิดจากการถูกบังคับขาย ภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ว่ากันว่านองด้วยเลือดและน้ำตา
ก่อนหน้านี้เหล่ากูรูตลาดทุนได้วิเคราะห์ว่าควรทิ้งการลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วเพราะ เมื่อสถานการณ์โควิดเกิดขึ้นตลาดทุนทุกแห่งดัชนีต่างลงเหมือนกันหมด แต่พอหมดโควิดทุกแห่งดัชนีในตลาดหุ้นขึ้น แต่ไทย ยังคงต่ำอยู่ หรือก่อนหน้านี้ตอนเกิดสงครามอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ตลาดหุ้นไทยค่าดัชนีร่วงต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ของตลาดหุ้นโลก แต่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยตกเป็นอันดับต่ำสุดและต่ำกว่าอิสราเอลที่เป็นประเทศคู่สงคราม
ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดนี้ เพื่อจะบอกว่าคนที่ยังพออยากได้เม็ดเงินเพิ่มขึ้นจากการลงทุนจะมีทางออกอย่างไร กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต ถอดเอามาจากกูรู ว่าสำหรับผู้ยังรักความท้าทาย ควรไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ หรือกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งธนาคารพาณิชย์หลายแห่งต่างตั้งกองขาย
ประเทศที่ควรให้ความสนใจในช่วงนี้มีหลายแห่งด้วยกัน อันดับแรกอินเดียที่ปัจจุบันมีมูลค่าเติบโตจากการตั้งกองใหม่เมื่อ 5 ปีก่อนถึง 70% อันดับต่อมาญี่ปุ่น ที่มีการเติบโตประมาณ 30% ส่วนยุโรป หรือ สหรัฐอเมริกาก็ยังเป็นกองทุนที่น่าสนใจและไม่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกา อย่าง เอสแอนด์พี หรือแนสแดก อย่างไรก็ตามมูลค่าของกองทุนที่กล่าวมาอาจเป็นราคาที่สูง แต่ถ้าต้องการ ที่มูลค่าไม่มากแต่อยากลงทุนในกองทุนที่มีอนาคต ก็มีคำแนะนำว่าให้เลือกกองทุนที่ลงในเวียดนาม หรือ จีน โดยเฉพาะจีนแม้ขณะนี้ยังไม่กลับมาสวยงามเท่าไหร่ แต่ทุกคนก็มองว่ายังมีหวัง
ที่กล่าวมาข้างต้นจะเหมาะกับกลุ่มที่ไม่มีความรู้เรื่องตลาดทุนมากนัก ไม่ต้องการเฝ้าตลาดและอยากได้กองทุนประหยัดภาษี แต่ถ้าเป็นกลุ่มมืออาชีพรักความเสี่ยง ก็สามารถเลือกใช้วิธีการลงทุนหุ้นในตลาดต่างประเทศโดยตรง ซึ่งปัจจุบัน มีทั้งธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์หลายรายเปิดให้บริการเลือกลงทุนด้วยตนเอง
สำหรับกลุ่มที่ใกล้เกษียณแต่วัยเกิน 55 วิธีที่จะเยียวยาไม่ต้องเอาเงินก้อนใหม่ไปลง กินอยู่เป็นแนะนำให้เอาเงินในกองทุนที่ครบกำหนดตามที่กำหนด คือ ลงทุนมาแล้วเกินกว่า 5 ปี ขายกองทุนที่มีมูลค่ากำไรน้อยที่สุด เอาไปซื้อกองทุน RMF หรือตัวใหม่ล่าสุด TESG ที่ตั้งขึ้นมาแทน LTF ซึ่งตัวนี้มีเงื่อนไขที่น่าสนใจในระดับหนึ่งตรงที่ลงทุนในหุ้นน้ำดี ดูมีราศีและมีอนาคต และระยะเวลาก็สั้นลงคือระยะเวลาถือครองเพียง 5 ปี วิธีนี้นักลงทุนวัยเก๋าก็จะเท่ากับเป็นการเอาเงินเก่ามาหมุนและใส่ในกองทุนที่มีศักยภาพ โดยไม่ต้องเฝ้าดูตัวเลขขาดทุน ส่วนวัยทำงานเงินเยอะก็พิจารณาได้ตามสมควร
หากทั้งหมดทั้งปวงต้องเตือนว่า การลงทุนมีความเสี่ยง แต่เป็นความเสี่ยงที่มาพร้อมกำไร
ส่วนตลาดหุ้นไทย ถ้าหนีไม่ทันก็ ทำใจ