ดร.กิตติ โฆษะวิสุทธิ์ ประธานกรรมการศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่งคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB CERT) เปิดเผยว่า การกำกับดูแลเรื่องระบบแบงก์ล่ม ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับฟังความคิดเห็นจากสถาบันการเงินและผู้เกี่ยวข้องจบแล้ว คาดว่าจะมีการเสนอคณะกรรมการ ธปท.เห็นชอบและออกประกาศต่อไป
ทั้งนี้ ธปท.ต้องการให้สถาบันการเงินยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงิน ซึ่งปัจจุบันจะเห็นว่าทุกคนหันมาใช้บริการโอนเงินผ่านพร้อมเพย์กันมากขึ้น ธปท.จึงไม่ต้องการให้ระบบสะดุด และไม่อยากฝืนธุรกิจมากเกินไป
“ธปท.ได้กำหนด Service Level Agreement (SLA) ข้อตกลงเกี่ยวกับระยะเวลาการให้บริการทางการเงินในด้านต่าง ๆ เช่น การให้บริการการแก้ไขเหตุขัดข้อง ติดต่อธนาคารแล้วจะได้รับการติดต่อกลับ หรือได้รับการช่วยเหลือจะต้องอยู่ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งตัวเลข SLA หรือระยะเวลาที่ยอมรับได้หากเกิดระบบล่มอยู่ที่ 99.99 หรือคิดเป็นยอดสะสมประมาณ 8.7 ชั่วโมงต่อปี”
ส่วนบทลงโทษกรณีไม่สามารถปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด ดร.กิตติกล่าวว่า เชื่อว่าในช่วงแรก ธปท.ยังคงไม่ได้มีบทลงโทษ และคงให้ระยะเวลาผ่อนผัน (Grace Period) สถาบันการเงินในการยกระดับระบบและปรับตัว ซึ่งสถาบันการเงินขนาดใหญ่หรือมีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) น่าจะไม่มีปัญหาในเรื่องข้อกำหนดดังกล่าว เพราะน่าจะทำได้ดีกว่า แต่จะต้องมีการพัฒนาระบบในการรองรับในเรื่องของการเติบโตของธุรกรรมพร้อมเพย์ที่ขยายตัวแบบก้าวกระโดด ซึ่งจะต้องทำระบบรองรับการเติบโตดังกล่าวไว้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการทำธุรกรรมค่อนข้างมาก เช่น วันออกสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือการใช้สิทธิมาตรการภาครัฐ เป็นต้น