จากวันก่อนที่เห็นลุงป้อมใส่เน็คไท ผ้าไหมลายผ้าขาวม้า โดยบอกนี่คือ ซอฟท์พาวเวอร์ปั้นผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยช่วยเกษตรกร สู่ตลาดโลก ผลันนึกถึงกระเป๋าเสื่อกกแบรนด์ “จักสาน” ของตั้ม จิรวัฒน์ มหาสารที่วันนี้ก็โชว์โฉมอวดศักดา บนเมืองแฟชั่นโลกหลายประเทศ อีกทั้งยกระดับราคากระเป๋าเสื่อกก หรือกระเป๋าจักสาน ขึ้นไปได้ตั้งแต่หลักพันปลายจนถึงหลักหมื่น
กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิตจึงขอนำเสนอความคิดการปั้นแบรนด์ และแนวคิดการเริ่มธุรกิจของ ตั้ม จิรวัฒน์ ที่เคยให้สัมภาษณ์ในสื่อต่าง ๆ มานำเสนออีกครั้ง เผื่อในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่หลายกูรูบอกกำลังจะมาถึง จะช่วยให้คนว่างงาน หรือ คนมีไอเดีย สามารถเห็นช่องทาง เห็นโอกาสเพราะ วันนั้นที่เริ่มต้น ตั้ม จิรวัฒน์ เริ่มจากทุนแค่หลักหมื่น ซึ่ง กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิตเชื่อว่า ทุนจำนวนนี้ไม่หนักหรือสาหัสเกินไปนัก
ล้อมกรอบ “ตั้ม จิรวัฒน์ มหาสาร” จบการศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นผู้สร้างแบรนด์ CHAKSARN ผลิตภัณฑ์กระเป๋าจากต้นกก
จุดเริ่มต้น
หลังจากเข้ามาทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศ ในกรุงเทพฯแล้วรู้สึกไม่ชอบในสิ่งที่ทำ ก็ลาออกไปเรียนด้านธุรกิจก่อนกลับไปอยู่บ้าน ในระหว่างที่เปลี่ยนเสื่อกกที่บ้านก็รู้สึกว่า เสื่อกก ที่มีความสวยในตัวทำอย่างไรจะเพิ่มมูลค่า จากผืนละ 100 -200 บาทขึ้นได้เพราะถ้าทำได้ก็สามารถช่วยชาวบ้าน ตอนแรกคิดจะทำเฟอร์นิเจอร์ก็ ติดที่มีคนทำแล้ว ทำเสื้อผ้าก็แข็งเกินไปจึงคิดว่า กระเป๋าแฟชั่นยังไม่มี และส่วนใหญ่คนจะไปจับ “ผ้า”มากกว่า
10,000 บาทต้นทุน เริ่มแรก
เริ่มต้นทุนไม่เยอะ มีเงินประมาณแค่หมื่นกว่าบาท หากที่สำคัญคือหาความรู้ เรารู้แล้วว่าจะทำเสื่อกก แต่ไม่เคยรู้ว่ามีขั้นตอนทำยังไง จึงเริ่มจากให้แม่สอนตั้งแต่เก็บต้นกก ย้อมสี ตากจนถึงทอเสื่อและคิดลายขึ้นเองซึ่งใช้เวลาเรียนรู้อยู่ครึ่งเดือน
ขั้นต่อไปคือ แล้วจะขึ้นรูปกระเป๋าอย่างไร ตรงนี้คือใช้ทุนที่มีอยู่แบ่งไปลงเรียนคอร์สสั้นๆ ถึงวิธีขึ้นรูป ทำแบบกระเป๋าหนัง ก็ทำให้รู้ว่าหนังมีกี่ประเภท ลักษณะตัดเย็บควรทำอย่างไร ต้องใช้วัสดุอะไรบ้าง สิ่งที่ตามมาก็จะเป็นการรู้จักผู้คนในวงการ ความรู้พื้นฐาน จากนั้นก็เริ่มผลิตกระเป๋าชุดแรก หากเริ่มด้วยจำนวนน้อย ๆ ไม่เกิน 10 ใบ โดยในขั้นตอนขึ้นรูปกระเป๋านี้จะประมาณครึ่งปี ทั้งแก้แบบปรับแบบเพื่อให้ “ปังที่สุด แปลกตา โดดเด่น” เพราะหากขายไม่ได้หมายถึงเงินทุนจะไม่เหลือเพื่อผลิตลอดต่อไป
ผลปรากฏ การลงขายล็อตแรกผ่านเฟชบุ๊ค หมดในเวลาไม่กี่วัน โดย10 ใบที่ลงขายตั้งราคาใบละ 9,900 บาท
ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ แต่หลังจากทำมา 3 ปีเงินทุนเริ่มแรกที่เริ่มต้นจาก10,000 บาทก็เพิ่มเป็น หลัก ล้านบาท
อุปสรรค ปัญหา ของการเริ่มต้น
1. ไม่มีตำราให้เรียนรู้ เพราะความที่เป็นเจ้าแรกนำเสื่อกกมาตัดเย็บกับหนัง ซึ่งมีพื้นผิวต่างกัน
-ไม่อ้างเหตุผลว่า เราไม่รู้ในเรื่องแฟชั่นดีไซน์ แต่เรียนรู้ด้วยตนเองว่าทำยังไงถึงจะดูแพง ให้คนรู้สึกว่า เป็นของดี ดูหรูหราไฮโซ ในส่วนนี้ใช้เวลาพอสมควร
2. ตอนที่โควิดระบาด รายได้ศูนย์แต่เช่าพื้นที่เปิดร้าน 2แห่งในห้างหรู เช่าพื้นที่ทำออฟฟิศ
-ตอนเปิดใหม่ๆ บูมมากได้รับความสนใจจากสื่อ นิตยสาร รายการทีวีต่างๆแทบทุกรายการที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ จึงเช่าพื้นที่ทำออฟฟิศ ที่สาธร เปิดร้านที่ไอคอนสยาม และเทอร์มินอล 21 แต่พอโควิดระบาดรายได้หลักแสน หลักล้าน หายไป พอถึงช่วงล็อคดาวน์รายได้ เท่ากับศูนย์ เงินในบัญชีจากหลักล้านเหลือ20,000 และยังไม่ได้จ่ายค่าเช่าพื้นที่ แต่เราต้องไม่ท้อ
-ตัดค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ไปเรียนรู้การทำบัญชีรักษาเงินสดที่มี โดยปิดหน้าร้าน ลดจำนวนคน ยกเลิกสัญญาเช่าออฟฟิศ ไม่จ้างนางแบบถ่ายสินค้า แต่เปลี่ยนเอา ตัวเอง เป็นพรีเซนเตอร์สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีคนติดตามเราเพิ่มขึ้น พอโควิดผ่อนคลาย คนเริ่มกลับมาซื้อ
3. ปัญหามีทุกวัน
-แก้ไปทุกวัน สู้ไปทุกวัน อย่ายอมแพ้
บทสรุปสิ่งที่น่าสนใจของแบรนด์ Chaksarn คือตลาดลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทยกว่า 70% อยู่ในประเทศและ30% อยู่ต่างประเทศ โดยปัจจุบันการขาย100% เป็นช่องทางออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก ไอจี และเวปไซด์ รวมถึง Tiktok
สำหรับข้อคิด คนอยากเริ่มธุรกิจ คือ ต้องมีความรักและหลงใหล จากนั้นทำให้เต็มที่ และไม่หยุดเรียนรู้สิ่งใหม่
ที่มา : คัดลอกเรียบเรียง จาก เว็บไซด์ สาร MSU ONLINE ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม