ย้อนดูการวางแผนแหกคุก จากสติปัญญานักโทษยุคหลังปี 2000 ตั้งแต่สุดยอดมหาเศรษฐีเจ้าพ่อยาเสพติด เอลชาโป แห่งเม็กซิโก ทุ่มเงินสร้างสุดยอดการเจาะอุโมงค์ใต้ดินสุดไฮเทค ไปจนถึงวิธีพื้นๆ แบบปลอมตัวเป็นสาว หรือแปลกสุดกับการใช้วิธีดัดตัวลอดช่องลูกกรงส่งอาหารของปรมาจารย์โยคะจากเกาหลี
ในช่วงหลังปี 2000 เป็นต้นมามีคดีแหกคุก ในรูปแบบแปลกๆ เกิดขึ้นจนเป็นข่าวฮือฮามาแล้วหลายคดี และเหล่านี้คือวิธีการแหกคุกที่หลายคนยังจำได้ดี เพราะนอกจากจะทำให้เห็นถึงวิธีการแปลกประหลาดในการหลบหนีแล้ว ยังทำให้เห็นความพยายามของที่ต้องการทำทุกอย่างเพื่อ “อิสรภาพ” ของมนุษย์นั่นเอง
เอล ชาโป เจ้าพ่อยาเสพติด กับการแหกคุกบันลือโลก
คดีแหกคุกที่โด่งดังมากที่สุดในยุค ปี 2544 -2558 ต้องยกให้คดีของ โจอาควิน เอล ชาโป กุซแมน (Joaquin El Chapo Guzman) เจ้าพ่อค้ายาเสพติดชาวเม็กซิกันซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม ‘El Chapo’ ซึ่งมีบทบาทอย่างมากตั้งแต่ปี 2523 และก้าวขึ้นมาเป็นพ่อค้ายาเสพติดที่ทางการสหรัฐฯ ต้องการตัวมากที่สุด เขาปฏิบัติการแหกคุกสำเร็จถึงสองครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่คุก อัลติพลาโน่ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อัลคาทราซ” ของเม็กซิโก ซึ่งเป็นคุกที่มีความไฮเทคทันสมัย และเป็นหนึ่งในคุกที่ดีที่สุดในเม็กซิโก
เพราะความร่ำรวยของเอลชาโป ทำให้เขาสามารถวางแผนการหลบหนีได้อย่าแนบเนียน และซับซ้อนชนิดช็อคโลก โดยเฉพาะครั้งล่าสุด จากการว่าจ้างวิศวกรหัวกะทิ ออกแบบเส้นทางการหลบหนีด้วยการเจาะอุโมงค์ใต้ดินเป็นระยะทางกว่า 1 ไมล์ หรือราว 1.6 กิโลเมตร จากบริเวณภายนอกสู่พื้นที่ภายในห้องอาบน้ำในคุก ซึ่งเป็นจุดเดียวที่ไม่มีกล้องวงจรปิด
ภายในอุโมงค์ติดตั้งระบบไฟฟ้า,ระบบดูดอากาศเพื่อให้หายใจได้ระหว่างหลบหนี และยังมีมอเตอร์ไซค์รางสำหรับนำตัวเขาออกจากคุกได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า ว่ากันว่าเอล ชาโป ใช้เงินไปกว่า 5 ล้านดอลลาร์สำหรับการเจาะอุโมงค์นี้ ยังไม่นับเงินที่ต้องจ่ายเป็นสินบนให้กับเจ้าหน้าที่เรือนจำของเม็กซิโกด้วย อย่างไรก็ตาม เจ้าพ่ออัลชาโป ได้ใช้ชีวิตอยู่นอกคุกได้เพียง 6 เดือน ก่อนที่จะถูกนาวิกโยธินสหรัฐฯ จับตัวได้ และเขาได้ถูกศาลกลางสหรัฐตัดสินจำคุกตลอดชีวิตอีกครั้งเมื่อปี 2559
แหกคุกด้วยโยคะที่แทกู เกาหลีใต้
ในประเทศเกาหลีใต้ มีการแหกคุกที่กลายเป็นข่าวไปทั่วโลก เมื่อนายซอย กาบ บก ผู้ต้องสงสัยในคดีปล้นทรัพย์ ชาวเกาหลีใต้ ปรมาจารย์ด้านโยคะ ได้ใช้วิชาที่เขาฝึกฝนมากว่า 23 ปี แหกคุกจากห้องขังในสถานีตำรวจเมืองแทกู หลังถูกคุมขังนาน 5 วัน โดยชโลมร่างกายท่อนบนด้วยน้ำมันนวดตัวที่นำติดตัวมา แล้วค่อยๆ ดัดตัวเองเพื่อมุดออกจากช่องส่งอาหารที่ประตูห้องขัง ซึ่งมีความสูงเพียง 15 ซม. กว้างเพียง 45 ซม. ได้สำเร็จภายในแค่ 34 วินาที ก่อนที่จะใช้วิชาโยคะมุดหนีห้องขังออกไป ซอยยังไม่ลืมที่จัดฉากที่นอนภายในห้องขังของเขา เหมือนกับว่าตัวเขาเองยังนอนอยู่อีกด้วย
แต่เหมือนกับทุกคน เขาถูกจับหลับจากหนีออกไปลอยนวลเล่นโยคะอยู่ข้างนอกเพียง 6 วัน และถูกส่งตัวกลับเข้าห้องขังที่ตำรวจไม่ยอมให้มีช่องที่เขาจะสามารถดัดตัวเล็ดลอดออกไปได้อีกต่อไป
ปลอมเป็นลูกสาวหนีคุก
ปลายปี 2562 เคลาวิโน ดา ซิลวา วัย 42 นักโทษคดียาเสพติดของบราซิล พยายามที่จะหลบหนีจากเรือนจำความปลอดภัยสูงเกรินซิโน ในเขตตะวันตกของนครริโอเดอจาเนโร โดยอาศัยวิธีอำพรางเป็นลูกสาวของตัวเอง โดยใช้หน้ากากซิลิโคนใบหน้าหญิงสาว สวมชุดชั้นในยัดหน้าอกปลอม และเสื้อยืดสีชมพู สวมกางเกงยีนส์รัดติ้ว และวิกผมยาว เพื่อที่จะตบตาเจ้าหน้าที่ว่าเขาคือหญิงสาวสุดเซ็กซี่ที่เข้ามาเยี่ยมนักโทษ โดยในเวลานั้น มีผู้หญิงเข้ามาเยี่ยมนักโทษ 7 คน รวมถึงลูกสาวของเขาที่ยอมถอดเสื้อผ้าให้พ่อใส่ ส่วนตัวเธอซ่อนตัวในห้องขังแทนพ่อ
แต่แผนการของดา ซิลวา ก็ไปไม่รอดเมื่อเขาแสดงพิรุธจนทำให้เจ้าหน้าที่จับได้ และต้องถูกส่งกลับเข้าห้องขังไปอีกครั้ง แต่ไม่มีรายงานว่าเหล่าบรรดาหญิงสาวที่เข้าไปช่วยเขาถูกลงโทษอย่างไร อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุ ดา ซิลวา ก็ได้ผูกคอตายภายในห้องขังหลังจากนั้นไม่นาน
ส่งโปสการ์ดเยาะเย้ยเรือนจำหลังหนีสำเร็จ
ต้นปีนี้ เว็บไซต์ นสพ. The Independent ของอังกฤษ เสนอข่าว ระบุว่า อูอาลิด เซ็กกากิ (Oualid Sekkaki) นักโทษที่ถูกจับกุมข้อหาครอบครองยาอี 25,000 เม็ด เมื่อปี 2560 และพยายามแหกคุกหลายครั้ง หลายวิธี เช่น ก่อเหตุชิงเฮลิคอปเตอร์เพื่อหลบหนีจากเรือนจำในเมืองบรูกส์ กระทั่งประสบความสำเร็จจากการแหกคุกเมื่อ เดือน ธ.ค. 2562 ด้วยการปีนข้ามกำแพงไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ และหลบหนีจากเรือนจำเมืองแอนต์เวิร์ป
รายงานข่าวระบุว่า หลังจากหลบหนีจากคุกได้ไม่กี่เดือน เรือนจำเมืองแอนต์เวิร์ป ก็ได้รับโปสการ์ดที่ถูกส่งกลับมาที่เรือนจำพร้อมระบุว่า “สวัสดีจากประเทศไทย (Greetings from Thailand)” โดยผู้คุมคนหนึ่งกล่าวว่า จดหมายนี้ถูกส่งถึงคณะผู้บริหารเรือนจำ 3 คน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นของจริงเพราะถูกส่งโดยไปรษณีย์ลงทะเบียนพร้อมประทับตราถึงเรือนจำที่ผู้ต้องขังรายนี้ถูกจำคุก แต่ไม่ยืนยันว่า อูอาลิด เซ็กกากิ อยู่ในประเทศไทยจริงหรือไม่ และจนถึงปัจจุบันก็ไม่มีรายงานความคืบหน้าว่าเขาอยู่ที่ไหน และถูกจับแล้วหรือยัง
“อัลคาทราช (Alcatraz)” สุดยอดตำนานแห่งการแหกคุก
สำหรับการแหกคุกระดับตำนาน ต้องยกให้การแหกคุก “อัลคาทราช (Alcatraz)” สถานที่คุมนักโทษที่มีโทษร้ายแรงของอเมริกา เมื่อ ปี ค.ศ.1962 นักโทษ 3 คนได้วางแผนแหกคุก ด้วยวิธีปีนขึ้นไปตามช่องระบายอากาศ แล้วกะเทาะฝาครอบออก หลบหนีออกไปทางหลังคาคุก โดยแผนพวกเขาเริ่มต้นด้วยการขุดผนังด้วยอุปกรณ์ที่ค่อยๆ สะสมตามจะหาได้ เช่น ช้อนโลหะในโรงอาหาร จากนั้นก็ขุดฝาผนังทุกคืนด้วยช้อนและเหรียญ อุปกรณ์โลหะขนาดเล็กอื่นๆ ที่มี ซึ่งไม่ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่พวกเขาก็มุ่งมั่นขุดต่อไป
และเพื่อป้องกันสายตาผู้คุมได้มีการสร้างฉากกั้นขึ้นมาหลอกตาเสมือนเป็นฝาผนังจริง ที่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ระหว่างการขุดก็ให้เพื่อนนักโทษเล่นดนตรีในห้องขัง เพื่อให้เสียงดนตรีกลบเสียงขุดฝาผนัง จนถึงเวลาดับไฟเข้านอน
นอกจากนี้ นักโทษทั้งสามคนยังลักลอบนำสบู่และกระดาษชำระมาปั้นเป็นศีรษะและใบหน้าตนเองขนาดเท่าจริงพร้อมทั้งทาสีเสมือนจริง และแอบเก็บเศษผมจากร้านตัดผมนักโทษมาติดบนศีรษะหุ่นปั้น ให้เห็นทรงผมคล้ายจริงเพื่อใช้ในยามค่ำคืน ด้วยการนำผ้าห่มมาห่มจากส่วนคอลงไป หลอกตาผู้คุมที่ออกตรวจภายใต้แสงสลัวว่านักโทษกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง
กระทั่งเวลาผ่านไป 8 เดือน ทั้งสามคนก็สามารถออกไปทางช่องทางที่ขุดไว้สู่หลังคาเรือนจำได้สำเร็จ แล้วข้ามสู่ฝั่งที่ห่างออกไป 2 กิโลเมตร ด้วยการนำเสื้อกันฝนของเพื่อนนักโทษกว่า 50 คนมาเป่าลมด้วยหีบเพลงอันเล็กๆ ทำเป็นแพ มุ่งสู่อิสรภาพบนฝั่งซานฟรานซิสโกได้สำเร็จ
ปัจจุบันเรือนจำแห่งนี้ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไป ในขณะที่เรื่องราวของนักโทษทั้งสามคนยังถูกนำไปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างซีรีย์ และภาพยนตร์ แอคชั่นเกี่ยวกับ การแหกคุก หลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น ซีรีย์ยอดนิยมอย่าง Prison Break หรือภาพยนตร์ฮอลิวู้ด “The Rock” ที่ใช้ “อัลคาทราช (Alcatraz)” เป็นสถานที่หลักของเหตุการณ์ในเรื่องอีกด้วย