ขณะที่สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด19 ยังไม่ทุเลาลงโดยเฉพาะในยุโรป และสหรัฐอเมริกา แต่ดูเหมือนว่าการรับมือของผู้นำบางคนอาจจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก เช่น ในสหรัฐอเมริกาที่ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาทวิตข้อความส่วนตัว กล่าวถึงการรับมือการระบาดในสหรัฐอเมริกา แต่กลับใช้คำว่า “ไวรัสจีน” จนสร้างความไม่สบายใจให้กับหลายฝ่าย เพราะคำกล่าวของทรัมป์ อาจะทำให้เกิดความขัดแย้ง และเหยียดเชื้อชาติระหว่างชาวตะวันตกและชาวเอเชีย แม้กระทั่งองค์กรด้านสิทธิพลเมืองของสหรัฐเองก็ออกมาตำหนิการใช้คำที่ไม่สมควรของเขาในครั้งนี้
ซินเทีย ซอย ผู้อำนวยการขององค์กร Chinese for Affirmative Action ซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลด้านสิทธิของชุมชนชาวจีนในซานฟรานซิสโก ระบุว่า คำกล่าวของทรัมป์ และเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวที่ใช้คำว่า “ไวรัสจีน” “กังฟู” หรือ “ไวรัสอู่ฮั่น” จะเป็นการปลุกเร้าและกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านชาวเอเชียขึ้นจนกลายเป็นเหตุรุนแรงที่กระทำระหว่างกัน โดยทรัมป์ปฏิเสธที่จะเรียกชื่อโรคให้ถูกต้อง ตามที่แพทย์และองค์การอนามัยโลกกำหนดว่า คือ โรคโควิด 19 หรือ โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โดยยังใช้คำที่อาจจะทำให้เกิดความแตกแยก และเขายังไม่รับฟังเสียงเรียกร้องเรื่องความอ่อนไหวในการใช้คำพูดเช่นนี้ เพราะสิ่งที่กล่าวอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย
ขอขอบคุณภาพจาก : Jabin Botsford/The Washington Post , Reuters
หลังการทวิตข้อความของทรัมป์ถูกเผยแพร่ออกไป องค์กรของซินเทีย ก็ได้เปิดศูนย์เพื่อให้การดูแลความปลอดภัยและรับเรื่องร้องเรียน รวมถึงการเลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและแปซิฟิก ชาวเกาะทั่วประเทศทันที โดยปรากฏว่าหลังเปิดทำการศูนย์แห่งนี้ได้รับรายงานเรื่องร้องเรียนถึง 60 เรื่องภายใน 2 วัน
เคสหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ มีเด็กชายชั้นมัธยมต้นชาวเอเชียอายุ 12 ปี ที่อาศัยอยู่ย่านซานเฟอร์นันโด ในลอสแองเจลิส ถูกเพื่อนร่วมชั้นทุบตีอย่างรุนแรงจนต้องนำตัวส่งห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล หรืออีกกรณีหนึ่งมีหญิงชาวจีนที่ถูกชาวอเมริกันรุมด่ากล่าวหาบนถนน และระหว่างเดินอยู่บนถนนก็ถูกผู้คนสาปแช่งอย่างไร้เหตุผล
นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า ชายจากพม่าและลูกชายคนเล็กของเขา ถูกชายคนหนึ่งแทงที่ร้านขายของชำในมิดแลนด์ รัฐเท็กซัส ซึ่งเชื่อว่าการเหยียดเชื้อชาติอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มีสาเหตุมาจากการระบาดของโรคโควิด 19
จากข้อมูลยังพบด้วยว่าชาวจีนที่อาศัยในสหรัฐอเมริกาต่างพากันไปซื้อปืนเพื่อป้องกันตัวมากขึ้น ทำให้ร้านขายปืนซึ่งตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยของคนจีน มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 10 เท่าจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามทรัมป์ออกมา ปฏิเสธว่าการใช้คำว่า “ไวรัสจีน” ของเขาไม่ใช่การเหยียดสีผิว แต่ไวรัสมาจากประเทศจีน และนั่นคือเหตุผลที่เขาใช้คำนี้
ทั้งนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักการเมืองอเมริกันด้วยกัน เช่น นางฮิลลารี คลินตัน ว่า ทรัมป์พยายามใช้คำพูดที่สร้างความสนใจเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นในการบริหารประเทศของเขาโดยเฉพาะความล้มเหลวในการบริหารจัดการ กรณีการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยเฉพาะที่ผ่านมาเขาออกมาปฏิเสธความร้ายแรงของโรคระบาดหลายครั้ง ตั้งแต่โรคเริ่มระบาด ขณะที่ผู้นำหลายประเทศได้ออกมากล่าวว่า ในช่วงเวลานี้ทุกประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติเดียวกันอยู่ ในขณะที่ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำทุกคนจะมาช่วยกันแก้ปัญหา แทนที่จะมาดูหมิ่นกล่าวหากัน
ด้านนายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกกล่าวว่า การที่องค์การอนามัยโลกออกมากำหนดให้ใช้ชื่อ COVID-19 เพื่อป้องกันการใช้ชื่ออื่น ที่อาจไม่ถูกต้องหรือถูกตีตราให้กับประเทศที่เกิดโรคในครั้งแรก ซึ่งเป็นความพยายามขององค์การอนามัยที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว แต่กลับปรากฏว่ามีเหตุเกิดขึ้นหลายครั้ง
ปัญหาการเหยียดชาวเอเชียเคยเกิดขึ้นหลายครั้งตั้งแต่เริ่มการระบาดในประเทศจีน นักการทูตชาวไทยเคยถูกทำร้ายในระหว่างเดินอยู่ในประเทศอังกฤษ ขณะที่ล่าสุดนักแสดงตลกชาวญี่ปุ่นก็ออกมาทวิตข้อความว่าถูกชาวตะวันตกถามว่าเขาเป็นชาวจีนหรือไม่ และแสดงท่าทางรังเกียจ เขาจึงตอบโต้ด้วยการถามกลับชาวตะวันตกไปว่า “แล้วคุณล่ะ เป็นชาวอิตาลีหรือไม่” ทำให้ข้อความของเขาถูกรีทวิตไปจำนวนมากโดยส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันออกที่ชื่นชมว่าเขาสามารถตอบโต้การเหยียดผิวจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้อย่างดี