สภาพัฒน์ฯ เผย ‘คนจน’ เพิ่ม 3.43 ล้าน อยู่ในกลุ่ม ‘จนมาก’ เกือบ 9 แสนคน

0
4
kinyupen

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2567 โดยพบจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 3.41% โดยในปีนี้ได้ปรับเส้นความยากจนปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน จากเดิม 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน

ทั้งนี้แม้ว่าสถานการณ์ความยากจนของไทยจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การเพิ่มขึ้นของคนจนในปี 2567 นี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกและในประเทศเผชิญกับความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย

รายงานระบุว่า ลักษณะพลวัตของความยากจนทำให้ประชาชนสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่าง “จน” และ “ไม่จน” ได้ตามปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม หรือผลกระทบจากภัยธรรมชาติ

โดยกลุ่มคนเปราะบางต่อความยากจนมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นในทุกระดับความรุนแรง กลุ่ม “คนจนมาก” ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนเกินกว่า 20% มีจำนวน 879,000 คน หรือมีรายได้เพื่อการอุปโภคบริโภคประมาณ 615 บาทต่อคนต่อเดือน และกลุ่ม “คนจนน้อย” หรือกลุ่มคนที่มีระดับรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคต่ำกว่าเส้นความยากจนไม่เกิน 20% เพิ่มขึ้นเป็น 2.55 ล้านคน

ภาคเกษตรแบกรับภาระคนจนหนักสุด

รายงานชี้ให้เห็นว่าแรงงานในภาคเกษตรยังคงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อความยากจนสูงที่สุด โดยมีจำนวนคนจนคิดเป็นสัดส่วน 45.49% ของคนจนทั้งหมด สะท้อนถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างของภาคเกษตรที่ต้องพึ่งพารายได้จากการผลิตซึ่งมีความผันผวนสูง ตามสภาพอากาศและราคาสินค้าเกษตรที่ไม่แน่นอน

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับเกษตรกร ทำให้ครัวเรือนเกษตรจำนวนมากยังคงตกอยู่ในภาวะยากจนเมื่อเศรษฐกิจภาคเกษตรเผชิญกับภาวะชะลอตัว

ความเหลื่อมล้ำยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง

สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยยังคงอยู่ในระดับทรงตัว โดยค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคด้านรายจ่ายลดลงเพียงเล็กน้อยจาก 0.335 ในปี 2566 มาอยู่ที่ 0.333 ในปี 2567

ประชากรกลุ่มที่มีรายจ่ายต่ำสุด 20% ใช้จ่ายเงินประมาณครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมดไปกับอาหารและเครื่องดื่ม ในขณะที่กลุ่มที่มีรายจ่ายสูงสุด 10% มีแนวโน้มใช้จ่ายเงินไปกับสินค้าและบริการอื่นที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน เช่น การครอบครองยานพหนะ เทคโนโลยีการสื่อสาร การท่องเที่ยว และบริการสุขภาพเอกชน

การศึกษา-ความยากจนเชื่อมโยงกันแน่นหนา

รายงานพบว่าการศึกษามีบทบาทสำคัญต่อการลดความยากจน โดยประชากรที่มีระดับการศึกษาต่ำมีปัญหาความยากจนมากที่สุด กลุ่มที่ไม่ได้เรียนหนังสือมีสัดส่วนคนจนสูงถึง 14.21% แต่เมื่อระดับการศึกษาสูงขึ้น สัดส่วนคนจนจะลดลง โดยกลุ่มที่มีการศึกษาตั้งแต่มัธยมปลายขึ้นไปมีสัดส่วนคนจนต่ำกว่า 3%

อย่างไรก็ตาม ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาระหว่างกลุ่มเด็กที่มีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างกันยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยครัวเรือนที่มีฐานะสูงสุดมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเฉลี่ยสูงกว่าครัวเรือนฐานะต่ำสุดถึง 8.16 เท่า

ภาคใต้และพื้นที่นอกเทศบาลเผชิญปัญหาหนัก

รายงานระบุว่าประชากรนอกเขตเทศบาลเผชิญกับภาวะยากจนสูงกว่าประชากรในเขตเทศบาลอย่างชัดเจน และภาคใต้มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ประสบปัญหาความยากจนเรื้อรังอย่างต่อเนื่อง

สวัสดิการรัฐให้ความคุ้มครองในระดับสูง

ด้านการเข้าถึงบริการของรัฐ รายงานพบว่าคนจนในประเทศไทยเกือบทั้งหมดสามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาล โดยมีสัดส่วน 97.49% ที่ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

สัดส่วนผู้สูงอายุยากจนที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจาก 94.19% ในปี 2566 เป็น 97.01% ในปี 2567 ขณะที่สัดส่วนคนพิการยากจนที่ได้รับเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 73.85% เป็น 87.45%

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

สศช.เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ 3 ประการหลัก:

1.ประเมินผลโครงการงบประมาณสูงอย่างต่อเนื่อง

รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลโครงการอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อสร้าง “หลักฐานเชิงประจักษ์” ในการกำหนดทิศทางนโยบายที่เหมาะสม ปรับปรุงหรือยุติโครงการที่ไม่คุ้มค่า และโยกย้ายทรัพยากรไปยังโครงการที่จำเป็นเร่งด่วนมากกว่า

2.พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางประชาชน

เร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลประชาชนของแต่ละหน่วยงานเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อประเมินความต้องการได้ตรงจุด ลดความซ้ำซ้อนของงบประมาณ และติดตามความเปลี่ยนแปลงของประชาชนในแต่ละช่วงชีวิต

3.ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกษตรอย่างยั่งยืน

เน้นมาตรการช่วยเหลือครัวเรือนยากจนที่ประกอบอาชีพเกษตรให้พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน ผ่านการให้เงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข ส่งเสริมช่องทางการตลาด สนับสนุนเทคโนโลยีการเกษตร และปฏิรูปที่ดินพร้อมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำ

สศช.เน้นย้ำว่ารัฐบาลควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ลดขนาดการใช้งบประมาณในโครงการขนาดใหญ่ที่ไม่เข้าเป้าหมาย และออกแบบนโยบายแก้ไขความยากจนให้ตรงจุดมากขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

kinyupen

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here