กินอยู่เป็น ชวนเที่ยววัดช่วงวันหยุด เพื่อคลายร้อนย่านบางยี่ขัน ที่ไปแบบครบเครื่อง กิน ดื่ม เที่ยว โดยจุดเริ่มต้นควรเป็นช่วงเช้าตอนสายๆ ที่วัดดาวดึงษาราม โดยวัดนี้ถูกบันทึกว่า สร้างโดยเจ้าจอมแว่น ในรัชกาลที่ 1 ซึ่งมีพระนามเดิมว่า “เจ้านางคำแว่น” เป็นพระบรมวงศานุวงศ์จากราชวงศ์เวียงจันทน์ นับเป็นพระสนมเอกผู้ทรงอิทธิพล และเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งอภิบาลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่ทรงพระเยาว์อย่างเข้มงวดจนรับฉายาว่า “พระสนมเอกเสือ”

ในช่วงปลายรัชกาลที่ 1 เจ้าจอมแว่น ได้สร้าง “วัดขรัวอิน” ตั้งอยู่บริเวณริมคลองบางยี่ขัน ด้านหลังวังลาว ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา วัดนี้ตั้งขึ้นตามชื่อพระอาจารย์อิน พระลาว สายปฏิบัติกรรมฐาน ผู้มีชื่อเสียง ท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัด หลังจากก่อตั้งขึ้นอย่างสง่างาม
เล่ากันว่าที่มาของการสร้างวัด ด้วยเพราะเจ้าจอมแว่น ทรงต้องทนทุกข์กับความผิดหวังครั้งใหญ่ ที่ไม่สามารถประสูติโอรสหรือธิดา ได้ก้าวข้ามความอับโชคนี้ ด้วยการทำบุญขนานใหญ่ รวมทั้งสร้างวัดลาวที่สำคัญ 2 แห่งคือ วัดดาวดึงษาราม ที่บางยี่ขัน และวัดสังข์กระจาย ที่บางไส้ไก่ แต่อีกทางหนึ่งให้เหตุผลของการสร้างวัดเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้กับรัชกาลที่ 1 ช่วงที่พระองค์ทรงพระประชวร แต่เสร็จไม่ทัน พระองค์สวรรคตก่อน

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 วัดนี้ก็ได้รับการขยายพื้นที่และได้รับการบูรณะ โดยเจ้านางกุณฑลทิพยวดี และได้นามใหม่ว่า วัดดาวดึงษาสวรรค์ (สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันเป็นสวรรค์ของพระอินทร์) และถูกบูรณะครั้งใหญ่ รวมถึงในยกระดับเป็นพระอารามหลวงในสมัยรัชกาลที่ 3 พร้อมได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดดาวดึงษาราม” ซึ่งหมายถึง วัดเป็นที่สถิตของพระอินทร์ โดยผู้ที่บูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่คือ พระยามหาเทพ (ปาน) ต้นตระกูลปาณิกบุตร

จากประวัติที่มาข้างต้น กินอยู่เป็น ชวนชมศิลปะของวัดนี้ที่ว่ากันว่าเป็นศิลปะของรัตนโกสินธ์ตอนต้น คือสมัยรัชกาลที่ 3 หากเดินขึ้นโบสถ์ สิ่งที่เป็นข้อสังเกตแรก คือ มีพาไล(ทางเดิน) ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งจะต่างจากโบสถ์แห่งอื่น ๆ ขณะเดียวกัน ซุ้มประตูชั้นใน ด้านหน้าจะกว้างใหญ่กว่าซุ้มด้านหลัง เพื่อให้พระประธานดูเด่นสง่า
ที่ผนังโบสถ์ด้านใน ตรงข้ามพระประธาน จะมองเห็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่เป็นศิลปะขึ้นชื่อ มีความละเอียดถึงขั้นที่ว่าหากซูมเข้าไปที่ภาพจะเห็นรายละเอียด แม้กระทั่งขนตาของชาวอินเดียในภาพ โดยภาพนี้กล่าวกันว่าเป็นฝีมือของ “คงแปะ” หรือหลวงเสนีบริรักษ์ จิตรกรเอก สมัยรัชกาลที่ 3

ตามประวัติหลวงเสนีบริรักษ์ หรือคงแปะ ถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาฆ่าคนตาย แต่รัชกาลที่ 3 พระองค์เห็นว่าคงแปะไม่ใช่ฆาตกรโดยสันดานและไม่มีเจตนา จึงทรงโปรดเกล้ายกโทษให้
ส่วนภาพวาดที่พาไลด้านหลัง (อยู่ในบริเวณโบสถ์ด้านในหลังพระประธานเป็นภาพวาดยุคเดียวกัน หากคาดว่าเป็นฝีมือของลูกศิษย์คงแปะ) แต่ภาพวาดที่บานประตูโบสถ์รูปเป็นภาพใหม่ที่ช่างมาซ่อมทำให้ฟรีโดยไม่คิดค่าแรง ที่มีเรื่องเล่าว่า ระหว่างที่ช่างทำการซ่อมแซมและทาสี แม่ที่อยู่ต่างจังหวัดป่วยแต่งานที่ค้างอยู่ทำให้กลับไปหาไม่ได้ จึงตั้งจิตอธิษฐานพร้อมเอาทองคำเปลวมาติดที่ภาพเทพารักษ์ ปรากฏเช้าวันถัดมา แม่โทรมาบอกไม่ต้องไปหาหมอแล้วเพราะหายแล้ว (ไม่เชื่ออย่าลบหลู่)
ในบริเวณด้านหน้าพระประธาน จะเห็นกระจกบานใหญ่ 2 บานตั้งขนาบ เข้าใจว่าเดิมเจ้าของคือ พระยามหาเทพใช้สำหรับเวลาตัดผม และหลังจากสิ้นแล้ว กระจกทั้ง 2 บานถูกยกนำมาถวายวัด ในช่วงแรก ๆ กระจกนั้นตั้งอยู่ในบริเวณวัด ได้ถูกโจรมาขโมยแต่สุดท้ายต้องเอามาคืนพร้อมสารภาพว่าเพราะทุกคืนจะมีเสียงออกมาจากกระจก “เอากูไปคืนวัด เอากูไปคืน”

ต่อมากระจกนี้ จึงถูกย้ายเข้ามาตั้งอยู่ในโบสถ์บริเวณด้านหน้า เมื่อเดินเข้ามา ก็ปรากฏอีกว่าในวันพระอุบาสิกาอายุ 90 ที่มานั่งรอเพื่อทำวัตรเช้า โดยนั่งเยื้องกับกระจก พลันหางตาก็มองเห็นผู้หญิงแต่งชุดไทยเดินออกมาจากกระจก ด้วยเหตุผลและการบอกเล่าเช่นนี้ กระจกทั้ง 2 บานจึงถูกย้ายไปตั้งด้านหน้าข้างพระประธาน เรื่องเล่านี้ฟังแล้วก็นึกถึงแม่มณี จากเรื่องทวิภพ ของทมยันตี
เมื่อชมวัด ถ่ายรูปแล้ว เดินออกจากวัดไม่กี่ร้อยเมตร กินอยู่เป็นก็อยากชวนไปจิบกาแฟ ที่ คาเฟ่บ้านมณี ที่มีจุดเด่นคือ วิวหน้ากว้างริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยอยู่ฝั่งตรงข้ามป้อมพระสุเมรุ




หรือเดินไปอีกหน่อยคือ บ้านพระยาพาลาซโซ ที่มีประวัติและตัวอาคารน่าสนใจ ด้วยดั้งเดิมเป็นบ้านของพระยาชลภูมิพานิช

บ้านหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2466 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระยาชลภูมิพานิชมีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพราชการ ได้รับพระราชทานยศเป็นอำมาตย์โท และมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาชลภูมิพานิช รวมถึงได้รับพระราชทานนามสกุล ‘อเนกวณิช’

พระยาชลภูมิพานิชสมรสกับนางสาวส่วน (สกุลเดิม อุทกภาชน์) นางข้าหลวงคนโปรดในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งได้ถวายงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ศึกษาศิลปะ วิชาการ และคุณสมบัติแห่งความเป็นกุลสตรี ในราชสำนักมาตั้งแต่เด็ก

พระยาชลภูมิพานิชรักนางส่วนตั้งแต่แรกเห็น เมื่อครั้งที่เธอออกจากกำแพงพระบรมมหาราชวังกลับไปเยี่ยมบิดามารดาที่บ้าน เมื่อความทราบถึงเบื้องสูง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถฯ จึงทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ทั้งสองได้สมรสกัน โดยคุณหญิงส่วนเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของพระยาชลภูมิพานิช ทั้งที่สมัยนั้นผู้ชายนิยมมีภรรยามากกว่า 1 คน

จบท้ายจากวัดดาวดึงษาราม จากกระจกแห่งเรื่องทวิภพ สู่พระยาพาลาสโซ โดยเรื่องหลังนี้ก็ชวนนึกถึง คุณเปรมและแม่พลอย จาก สี่แผ่นดิน ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช