CNN เปิดเผยรายงานประจำปีของ Demographia International Housing Affordability Report ซึ่งจัดอันดับราคาที่อยู่อาศัยของเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกทั้งหมด 94 แห่งใน 8 ประเทศ พบว่า ฮ่องกงขึ้นแท่นกลายเป็นเมืองที่มีราคาที่ดินแพงที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับค่าครองชีพของคนในท้องถิ่น จนทำให้ชนชั้นกลางหนึ่งคนกับการอยากมีบ้านเป็นของตนเองกลายเป็นความฝันที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ (Impossibly Unaffordable)
รายงานระบุว่า ถ้าเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยกับราคาบ้านโดยเฉลี่ย พบว่าความต้องการบ้านที่มีพื้นที่ภายนอกซึ่งขับเคลื่อนด้วยโควิด บวกกับนโยบายการใช้ที่ดินที่มุ่งจำกัดการขยายตัวของเมือง และนักลงทุนที่เข้ามาในตลาด ส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้น
ทั้งนี้ การศึกษาพบว่า 5 เมืองทางชายฝั่งตะวันตกและฮาวายของสหรัฐฯ ครองตำแหน่ง 5 จาก 10 อันดับแรกที่มีราคาเอื้อมไม่ถึง โดยเมืองที่แพงที่สุดในการซื้อบ้านในสหรัฐฯ อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่เมืองซานโฮเซ ลอสแอนเจลิส ซานฟรานซิสโก และซานดิเอโก ล้วนติด 10 อันดับแรก ส่วนโฮโนลูลู เมืองหลวงของฮาวาย จัดอยู่ในอันดับที่ 6
ด้านออสเตรเลียถือเป็นประเทศเดียวนอกเหนือจากสหรัฐฯ ที่ครองรายชื่อ ‘เมืองที่บ้านยังไม่สามารถหาซื้อได้’ โดยเมืองที่บ้านราคาแพงที่สุดในออสเตรเลียคือ ซิดนีย์และเมลเบิร์น เมืองทางตอนใต้ในรัฐวิกตอเรีย และเมืองแอดิเลดในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม อันดับหนึ่งยังคงเป็นฮ่องกง ซึ่งครองตำแหน่งราคาที่อยู่อาศัยแพง โดยศูนย์กลางการเงินขนาดเล็กในเอเชียแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กและค่าเช่าที่สูงลิ่ว
ปัจจุบันฮ่องกงมีอัตราการเป็นเจ้าของบ้านต่ำที่สุดในบรรดาเมืองทั้งหมดที่สำรวจ คือ เพียง 51% เมื่อเทียบกับคู่แข่งในเอเชียอย่างสิงคโปร์ ซึ่งมีอัตราการเป็นเจ้าของบ้านสูงสุด 89%
ทั้งนี้ การจัดทำรายงาน Demographia International Housing Affordability Report จะวัดความสามารถในการจ่าย โดยใช้อัตราส่วนราคาต่อรายได้ของราคาบ้านเฉลี่ยหารด้วยรายได้เฉลี่ยของครัวเรือน โดยเชื่อมโยงการเพิ่มขึ้นของการทำงานจากที่บ้านในช่วงวิกฤตโควิดระบาดที่เกิด Demand Shock
รายงานระบุว่า ชนชั้นกลางตกอยู่ภายใต้การปิดล้อม สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน เนื่องจากที่ดินได้รับการจัดสรรเพื่อลดการขยายตัวของเมือง และอุปสงค์ที่มากเกินอุปทานทำให้ราคาสูงขึ้น
นอกจากนี้ ราคาบ้านและที่ดินของหลายประเทศทั่วโลกยังปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีนักลงทุนส่วนหนึ่งกระโดดเข้ามาหาช่องทางลงทุนทำกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ 10 เมืองที่มีราคาที่อยู่อาศัยแพงที่สุดในโลกได้แก่
อันดับ 1 ฮ่องกง
อันดับ 2 ซิดนีย์ ออสเตรเลีย
อันดับ 3 แวนคูเวอร์ แคนาดา
อันดับ 4 ซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย
อันดับ 5 ลอสแอนเจลิส
อันดับ 6 โฮโนลูลู รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา
อันดับ 7 เมลเบิร์น ออสเตรเลีย
อันดับ 8 ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา และนครแอดิเลด ออสเตรเลีย
อันดับ 9 ซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา
อันดับ 10 โทรอนโต แคนาดา
รายงานยังระบุเมืองที่มีราคาเหมาะสมที่สุดจาก 94 เมืองที่สำรวจทั่วโลก ได้แก่ เมืองพิตต์สเบิร์ก, โรเชสเตอร์ และเซนต์หลุยส์ ในสหรัฐฯ เมืองเอดมันตันและคาลการีในแคนาดา เมืองแลงคาสเชอร์และกลาสโกว์ในอังกฤษ และเมืองเพิร์ทกับบริสเบนในออสเตรเลีย
นอกจากนี้ ฮ่องกงยังติดอันดับเมืองที่มีค่าครองชีพที่สูงที่สุดในโลกประจำปี 2024 อีกด้วย จากรายงานของ CNN Travel ได้รายงานผลเมืองที่มีค่าครองชีพสูงสุดในโลกประจำปี 2024 ระบุว่า ฮ่องกงชนะไปขาดลอย รองลงมาคือ สิงคโปร์ แต่ประเทศที่โดยรวมมีค่าครองชีพสูงติดอันดับโลก ยังคงเป็นสวิตเซอร์แลนด์ เพราะมีถึง 4 เมืองที่ติดอันดับ ได้แก่ ซูริก เจนีวา บาเซิล และเบิร์น ส่วนของประเทศไทยนั้น ทั้งราคาที่ดิน ค่าครองชีพ กลับกลายเป็นอะไรที่ดูสวนทางกันไปหมด ราคาที่ดินสูงขึ้นทุกปี แต่ค่าครองชีพล่ะเป็นยังไง กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต ขอให้ทุกคนคิดเองดีกว่า 🙂