สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับ Suppliers ผู้ผลิต และผู้ซื้อ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตลอด Supply Chain การส่งออกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างระบบนิเวศและสังคมคาร์บอนต่ำ
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวอยู่ที่ระดับ 2-3% เนื่องจากเครื่องยนต์สำคัญกลับมาขยายตัวพร้อมกันในรอบ 6 ปี ได้แก่ การบริโภคและการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การท่องเที่ยว ตลอดจนเครื่องยนต์สำคัญอย่างการส่งออกซึ่งหดตัวในปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มขยายตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ การฟื้นตัวช้าของภาคการผลิต และหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ทั้งนี้ เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัว 3.2% และ 2.8% ตามลำดับ ราคาน้ำมันโลกและราคาโภคภัณฑ์ต่าง ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาสินค้าส่งออกปรับตัวสูงขึ้นตาม
“อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวและแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดโลก โดยยกระดับคุณภาพและมูลค่าสินค้าเพื่อเจาะตลาดที่มีความต้องการสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ในบ้าน อุปกรณ์ Gadgets และสินค้ารักษ์โลก”
ดร.รักษ์กล่าวว่า EXIM BANK ได้พัฒนา Greenovation ที่มุ่งยกระดับสินค้าส่งออกของไทยเป็นสินค้ารักษ์โลกหรือ Green Products ควบคู่กับการสร้าง Green Export Supply Chain ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบที่ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยมลภาวะ บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ และการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด เป็นต้น
นับเป็นธนาคารแรก ๆ (Lead Bank) ที่มี Solution ทางการเงินช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ครบทุก Scope ทั้ง 1-2-3 กล่าวคือ สนับสนุนการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สะอาดขึ้น การใช้พลังงานหมุนเวียน และการช่วยให้ Suppliers ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย EXIM BANK สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ Green Export Supply Chain อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้นที่ 3.85% ต่อปี ให้แก่ Suppliers และผู้ซื้อปลายทางของผู้ประกอบการตลอด Supply Chain ที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ช่วยให้ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำได้ โดยอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ (Sponsors) ได้รับ
สำหรับผลการดำเนินงานของ EXIM BANK ในเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 ดร.รักษ์กล่าวว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 ยอดสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 174,196 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,474 ล้านบาท หรือ 7.05% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
มีจำนวนลูกค้า 5,607 ราย ในจำนวนนี้เป็นลูกค้า SMEs มากถึง 81.15% มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) จำนวน 8,600 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 เท่ากับ 4.99% มีกำไรจากการดำเนินงาน 805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 132 ล้านบาท
“ปี 2567 EXIM BANK เดินหน้า Go the Extra Mile ชูบทบาท Green Development Bank สร้าง Greenovationช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจใน Green Export Supply Chain ให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษโดยอ้างอิงกับผู้ประกอบการรายใหญ่ พัฒนาสินค้ารักษ์โลกของไทยสู่ตลาดโลก เร่งเครื่องภาคส่งออกของไทยขยายตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี สร้างสังคมคาร์บอนต่ำ แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก พร้อมขานรับนโยบายรัฐบาลปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เทียบเท่า MRR รวม 0.40% ต่อปีนับแต่ต้นปีนี้ เหลือ 6.35% ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบธนาคาร ช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs อีกทั้งยังพัฒนา Greenovation อย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนตั้งแต่ระดับชุมชน ประเทศชาติ และโลกโดยรวม” ดร.รักษ์ กล่าว