ลงทุนแบบมือใหม่ เน้นความเสี่ยงต่ำ เลือกแบบไหนได้บ้าง

0
1140
kinyupen

ในช่วงสภาวะดอกเบี้ยออมทรัพย์ต่ำกว่า 1% ส่วนดอกเบี้ยฝากประจำก็สูงไม่ถึง 2% หลายท่านอาจสนใจที่จะเริ่มลงทุนผ่านกองทุน ตราสารหนี้ หรือ หุ้นต่างๆ มากขึ้น แต่สำหรับใครที่ยังลังเลอยู่ หรือ ไม่รู้จะเริ่มยังไง วันนี้ กินอยู่เป็น 360 องศาแห่งการใช้ชีวิต ขอรวบรวม 3 ประเภทการลงทุนที่เหมาะกับมือใหม่มาฝากกัน

เงินฝากประจำ ง่ายสำหรับการเริ่มต้น

วิธีนี้เหมาะสำหรับสร้างวินัยทางการออมของมนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งทำงาน เพราะเริ่มต้นง่าย และไม่มีความเสี่ยงแค่ฝากเงินขั้นต่ำเพียงเดือนละ 500 บาท หรือ ตามยอดที่เราพึงพอใจ เข้าบัญชีทุกเดือนตามกำหนดระยะเวลาที่ธนาคารระบุ เมื่อถึงกำหนดระยะเวลาก็จะได้ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ ที่สูงกว่าการฝากในบัญชีออมทรัพย์หรือสะสมทรัพย์ทั่วไป ส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ 3 เดือนไปจนถึง 5 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.65 – 1.80% ขึ้นกับเงื่อนไขของธนาคารและระยะเวลาในการฝาก (ข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่  26 พฤศจิกายน 2562)

  • หากถอนก่อนครบกำหนดสัญญา ดอกเบี้ยที่ได้อาจจะลดลงหรือไม่ได้เลย
  • บัญชีเงินฝากประจำ มี 2 ประเภท คือ ฝากประจำแบบทั่วไป และ ฝากประจำแบบปลอดภาษี
  • ฝากประจำแบบทั่วไป จะหักภาษีจากผลตอบแทนหรือดอกเบี้ย 15%

ตราสารหนี้ เสี่ยงน้อย เลือกได้

ลงทุนตราสารหนี้ นั่นคือ เราจะมีสถานะเสมือนเจ้าหนี้ให้เงินกู้แก่ลูกหนี้ หรือ ผู้ออกตราสารหนี้ เลือกได้ว่าจะให้หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ บริษัทเอกชน ซึ่งจะระบุระยะเวลาและอัตราดอกเบี้ยชัดเจนในสัญญา นั่นทำให้เราได้รับอัตราผลตอบแทนสม่ำเสมอ เฉลี่ยต่อปีถือว่าสูงกว่าดอกเบี้ยออมทรัพย์และมีความผันผวนน้อย รวมทั้งมีโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างราคาซื้อ-ขายด้วย โดยเราเลือกตัดสินใจลงทุน ได้ 2 แบบ

  • ลงทุนในตราสารหนี้รุ่นนั้นโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาลที่แทบจะไม่มีความเสี่ยง หรือ หุ้นกู้เอกชนที่มีความเสี่ยงเพิ่มแต่ก็ไม่เสี่ยงสูงเท่าการลงทุนแบบอื่นๆ
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ ต่างๆ ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาคเอกชน ซึ่งให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยที่มีความสม่ำเสมอ และแม้ราคาตราสารหนี้อาจมีความผันผวนตามสภาวะตลาดแต่ก็ถือว่าน้อย

โดยกองทุนรวมตราสารหนี้จะมี 2 แบบ คือ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short-Term Fixed-Income Fund :SFF )  อายุไม่เกิน 1 ปี และกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว (Long-Term Fixed-Income Fund) อายุมากกว่า 1 ปี ซึ่งในแต่ละกองทุนจะเป็นตราสารหนี้ภาคเอกชน ตราสารหนี้ต่างประเทศ หรือ เงินฝากในต่างประเทศก็ได้ทั้งนั้น โดยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของกองทุนตราสารหนี้ก็จะอยู่ที่ประมาณ 1.2%-1.8% ต่อปี ดูแล้วถือว่าใกล้เคียง หรือ ดีกว่าฝากประจำ นอกจากนี้อัตราผลตอบแทนที่ได้จากกองทุนยังได้รับยกเว้นภาษี แถมยังมีสภาพคล่องมากกว่าฝากประจำอีกด้วย เพราะซื้อขายได้ทุกวันทำการ และเมื่อต้องการใช้เงินก็ทยอยขายคืนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ทันที แต่จะได้รับเงิน 2 วันทำการถัดไป

ทั้งนี้ถ้าดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ถ้าดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาลง ก็ควรเลือกลงทุนกับกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว  แต่อย่างไรก็ตามควรศึกษารายละเอียดก่อนการลงทุนให้ถี่ถ้วนก่อนทุกครั้ง เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ

หุ้นกู้ (Bonds) : เงินต้นยังอยู่ จ่ายดอกเบี้ยตามกำหนด ตลอดอายุสัญญา

หุ้นกู้ คือ “ตราสารหนี้” อีกประเภทหนึ่งที่ออกโดยภาคเอกชน เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการ ของบริษัท โดยการขายจะแบ่งออกเป็นหน่วยที่มีมูลค่าเท่าๆ กัน

  • การลงทุนในหุ้นกู้ถ้าเปรียบให้ง่ายก็เหมือนเราเป็นเจ้าหนี้ เอาเงินไปให้บริษัทนั้นๆ กู้ในฐานะลูกหนี้ โดยลูกหนี้ให้คำสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันตลอดช่วงอายุของหุ้นกู้ และจะชำระเงินต้นคืน ณ วันครบกำหนดอายุของหุ้นกู้ ซึ่งมักกำหนดเป็นจำนวนปี เช่น อายุ 3 ปี 5 ปี 7 ปี 10 ปี หรือ ตามแต่ที่กำหนด
  • การจ่ายดอกเบี้ย ปกติจ่ายปีละ 2 หรือ 4 ครั้งตามแต่ที่ระบุในสัญญา เฉลี่ยดอกเบี้ยส่วนใหญ่อยู่ที่ 3 – 5% ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบัน ทั้งนี้ในส่วนดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้ต้องเสียภาษีรายได้เช่นเดียวกับรายได้ดอกเบี้ยชนิดอื่นๆ

แม้ความเสี่ยงต่ำ แต่ควรเลือกลงทุนในกลุ่มบริษัทที่ได้รับ การจัดอันดับเครดิตของบริษัท (Company rating) หรือ หุ้นกู้ (Issue rating) ที่ระดับ B+ ขึ้นไป และหากหุ้นกู้ใดไม่มีการจัดอันดับเครดิต ควรต้องพิจารณาพื้นฐานบริษัท งบการเงินรวมถึงสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะไม่ผิดนัดชำระหนี้.  นอกจากนี้ในปัจจุบันเริ่มมีหุ้นกู้ที่ไม่กำหนดอายุในการไถ่ถอน ดังนั้นหุ้นกู้ประเภทนี้อาจไม่เหมาะสำหรับผู้มีเงินรายได้น้อยถึงปานกลาง อย่างไรก็ตามหากสนใจตัวใดศึกษาและเลือกดู โดยเฉพาะอาจไปตามงานมหกรรมการเงินใหญ่ๆ อย่าง Money Expo ซึ่งล่าสุดจะจัดงานที่ไบเทค ระหว่างวันที่ 28 พฤจิกายน – 1ธันวาคม ที่ไบเทค บางนา

บทความดังกล่าวเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของคณะผู้เขียน ดังนั้นผู้ที่สนใจการลงทุนควรศึกษารายละเอียดของประเภทกองทุนต่างๆ ให้ถี่ถ้วนรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

kinyupen