วิกฤตที่ควรรู้ถ้า “อยู่ฝ่ายธรรมชาติ”

0
287
kinyupen

ถ้าคุณเลือก “อยู่ฝ่ายธรรมชาติ” สิ่งที่คุณควรคำนึงถึงมีอะไรบ้าง? เวลาผ่านมาครึ่งปีแล้ว เราคงสังเกตได้ว่าฤดูกาล สภาพอากาศของโลกเราไม่ได้ปกติเหมือนเคย และในประเทศไทยเห็นได้ชัดเลยว่า ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ก็กลายเป็นฤดูร้อนไปเสียทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้กำลังบอกเราว่า “โลกกำลังป่วย” ซึ่งสาเหตุหลักไม่ใช่เพราะใครแต่เป็นเพราะน้ำมือมนุษย์อย่างพวกเรานี่เอง

ในขณะที่โลกพัฒนาขึ้นทั้งทางด้าน เทคโนโลยี นวัตกรรม ที่ทันสมัย แต่สิ่งที่ผู้คนละเลยและเมินเฉยต่อมันก็คือธรรมชาติที่กำลังถดถอยลงไปทุกที เหมือนมีผู้นำที่บริหารจัดการไม่ทั่วถึง หวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตนจึงละเลยกับหายนะที่กำลังเกิดขึ้น เราจะเห็นได้ว่าสังคมโลกมีการขับเคลื่อนเกี่ยวกับการอนุรักษ์ รณรงค์ ให้คำนึงถึงสิ่งที่เราใช้และมีวันหมดไปไม่น้อย แต่คุณรู้หรือไม่การเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง คนทุกคนควรลงมือทำพร้อมๆ กัน

หากมีเพียงส่วนหนึ่งที่เห็นถึงความสำคัญการเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิดขึ้น เช่น ห้างและร้านสะดวกซื้อ ในประเทศไทยร่วมใจกันไม่แจกถุงพลาสติก เพื่อลดการใช้ และการเกิดภาวะขยะพลาสติกล้นโลกและทำลายระบบการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ทุกคนอาจมองว่ามันคือสิ่งที่เราได้ช่วยโลกแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าโลกไม่ได้ต้องการแค่การลดใช้พลาสติกเพราะนอกจากปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อนแล้ว ชื่อใหม่ที่เราจะต้องคำนึงถึงก็คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเป็นผลทางตรงหรือทางอ้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือ Climate Change นั่นเอง

สาเหตุของการเกิด Climate Change มาจากภาวะเรือนกระจกที่เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้โลกร้อนขึ้นและอาจส่งผลให้เกิดภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง อย่างที่กล่าวข้างต้นหน้าร้อน ก็จะร้อนขึ้น ส่วนหน้าฝนกับหน้าหนาวไม่ต้องถามถึง จะกลายเป็นหน้าร้อนถาวร ซึ่งอาการป่วยของโลกนั้นเริ่มมีมาตั้งแต่หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นการเปลี่ยนผ่านจากการใช้แรงงานคน และสัตว์ มาเป็นพลังงานไอน้ำจากถ่านหิน การเผาไหม้ถ่านหินทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่ในปัจจุบัน

ร่างกายของเราในภาวะปกติจะมีอุณหภูมิอยู่ที่ 37 องศา แต่ถ้าหากอุณหภูมิ เพิ่มขึ้นมา 0.5 – 1 องศา เราจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่สบาย โลกก็เช่นกัน แต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นของโลกเพียง 0.5 – 1 องศาสามารถส่งผลกระทบต่อเราได้มากโดยที่ไม่ได้คาดคิด เช่น

  1. ทุกๆ 100 ปี น้ำแข็งทางขั้วโลกเหนือจะละลาย เชื้อโรคที่ถูกฝังไว้กับน้ำแข็งซึ่งเราไม่เคยพบมาก่อนก็จะละลายมาทางน้ำทำให้เราพบกับโรคระบาดใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น
  2. 8% ของไม้พันธุ์และพืชผลจะได้รับผลกระทบ ซึ่งทำให้สังคมโลกจะก้าวไปอีกขั้นสู่สภาวะขาดแคลนอาหาร
  3. ความเสี่ยงจากอุทกภัยจะเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ทำให้ที่อยู่อาศัยของมนุษย์หดหายและเหลือน้อย

และนี่คือบางส่วนของผลกระทบหากโลกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพียง 0.5 – 1 องศา ผลกระทบที่กล่าวไปนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อโลกมีอุณหภูมิ 1.5 องศา ซึ่งในปัจจุบันโลกมีอุณหภูมิอยู่ที่ 1.2 องศา จะเห็นได้ว่าตัวเลขไม่ได้ห่างกันมากนัก

ชีวิตคนเราไม่สามารถขาดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกสอนและเรียนรู้วิธีการใช้มาตั้งแต่เกิดได้ และสิ่งเหล่านั้นก็เป็นมิตรกับธรรมชาติได้ ทั้งนี้การอยู่ฝ่ายธรรมชาติไม่ได้หมายความว่าเราต้องปฏิเสธการพัฒนาทุกสิ่งอย่าง แล้วต้องไปนอนกางเตนท์ จุดเทียน หรือ ปั่นไฟใช้เอง

 

เรายังสามารถมีสิ่งอำนวยความสะดวกได้ เพราะโลกมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติมากขึ้น หลายสิ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดความสิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ ขอเพียงเปิดใจรับฟัง เพราะถ้าบวกลบดีๆ การนำบางสิ่งมาใช้อาจเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรกว่าเดิม อาทิ การปั่นไฟใช้เองก็ต้องหาซื้อน้ำมันมาใช้อยู่ดี หรือ แผงโซล่าเซลล์ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมดว่าจะทำให้เราประหยัด หรือ ลดโลกร้อนได้จริงแบบ 100% ทุกอย่างล้วนมีอุปสงค์อุปทาน มีต้นทุนทั้งสิ้น แต่หลักสำคัญ คือ เราต้องใช้มันอย่างรู้คุณค่า คิดถึงการมีอยู่และสูญไป เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อธรรมชาติ เราจะได้มีโลกเพื่ออยู่และใช้ชีวิตกันต่อไปในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างไม่มีถูกมีผิด แต่การที่คุณบอกว่าคุณอยู่ฝ่ายธรรมชาติ คุณต้องเข้าใจพื้นฐานเสียก่อน ว่าบริบทของธรรมชาติคืออะไร การค้านโครงการพัฒนาต่างๆ นานา แบบไม่ยอมกัน มันเหมาะสมหรือไม่ หรือ การอยากทำตัวชิคๆ เป็นฝ่ายอนุรักษ์ คุณเข้าใจมันจริงหรือป่าวว่าคุณกำลังอนุรักษ์อะไรอยู่ หรือ อยากเป็นแค่นักอนุรักษ์ .JPG

kinyupen